รมช.คมนาคม "ชัชชาติ" เครื่องร้อน เล็งปรับกลยุทธ์แผนลงทุนระบบราง ให้ รฟม.เป็นผู้ลงทุนควบคู่ดึงการเคหะฯเป็นพันธมิตรพัฒนาที่ดินแนวรถไฟฟ้า สร้างที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายหาเสียงพรรคเพื่อไทย "การเคหะฯ" ขานรับ พร้อมแบเบอร์มีที่ดิน 1,000 ไร่ กระจายทุกทำเลตามแนวรถไฟฟ้าทุกเส้นทาง
ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภารกิจหลักจะเข้ามากำกับดูแลเพื่อให้แผนงานและโครงการลงทุนของกระทรวงมุ่งสู่แนวทางซินเนอร์ยีหรือบูรณาการ ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในกระทรวงด้วยกันเอง หรือบูรณาการระหว่างกระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานรัฐอื่น ๆ
โดยหนึ่งในแผนงานหลักที่เป็นงานเร่งด่วน คือการจัดทำนโยบายลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งระบบถนน ทางด่วน และระบบราง โดยเฉพาะแผนลงทุนระบบรางของประเทศต่อไปจะต้องเป็นรูปแบบของการบูรณาการแผนงานและการทำงานร่วมกัน
"การลงทุนระบบรางมีค่าใช้จ่ายสูงมาก เวลาคิดเรื่องระบบรางจะต้องคำนึงถึงระบบการเงินที่จะมาลงทุน แต่เดิมรัฐมุ่งลงทุนสร้างระบบราง แต่ปรากฏว่าระบบรางหรือรถไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นว่าสุดท้ายรัฐได้ประโยชน์เพียง นิดเดียว แต่เอกชนกลับเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ดังนั้นการลงทุนระบบรางหรือสาธารณูปโภคต่อไปนี้ รัฐจะต้องเป็นผู้ได้ผลประโยชน์สูงสุด"
รูปแบบที่มองไว้ กำลังดูเรื่องแผนลงทุนขององค์การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่เป็นผู้ลงทุนระบบราง มีการเวนคืนที่ดินมาก่อสร้างโครงการ แต่ไม่สามารถพัฒนาที่ดินได้ด้วยตนเองเพราะกฎหมายจัดตั้งไม่เปิดช่อง ดังนั้นในอนาคต เมื่อรัฐบาลลงทุนระบบรางแล้ว ที่ดินแนวรถไฟฟ้าทางรัฐ ก็จะต้องเป็นผู้ลงทุนพัฒนาที่ดินด้วย เพื่อให้รัฐได้เป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุด
ทั้งนี้แนวทางที่มองไว้คือ กระทรวงคมนาคม โดย รฟม.เป็นผู้ลงทุนระบบราง ขณะที่จะบูรณาการให้ทางการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นผู้พัฒนาที่ดินตามแนวโครงการเมกะโปรเจ็กต์รถไฟฟ้าของรัฐบาล ซึ่งจะตรงกับที่พรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะออกนโยบายให้มีที่อยู่อาศัยให้เช่าในแนวรถไฟฟ้าหรืออยู่แนวสถานีรถไฟฟ้าสำหรับผู้มีรายได้น้อย
"นโยบายนี้มีการหารือระดับรัฐมนตรีของพรรคแล้ว โดยจะเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมกับการเคหะฯ ซึ่งอยู่ในกำกับดูแล ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตอนนี้รอให้ทุกอย่างลงตัวจะมีการประกาศนโยบาย ต่อไป โดยเส้นทางที่น่าจะเริ่มได้ก่อนเป็นอันดับต้น ๆ คือแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่วนที่ดินที่จะนำมาพัฒนาอาจจะเป็นที่ดินของการเคหะฯหรือที่ราชพัสดุหรือรัฐลงทุนซื้อที่ดินเอกชนเข้ามาพัฒนาขึ้นกับความเหมาะสมและความคุ้มค่าการลงทุน" ดร.ชัชชาติกล่าว
นายวิฑูรย์ เจียสกุล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" เพิ่มเติมเรื่องเดียวกันนี้ว่า ได้มีการเรียกไปหารือและรับทราบอย่างไม่เป็นทางการแล้วในระดับนโยบาย โดย กคช.มีความพร้อมสนองตอบนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย
ทั้งนี้ กคช.มีแลนด์แบงก์ในมืออยู่หลายแปลง โดยแปลงที่พร้อมที่สุดจะอยู่บริเวณบางปู บางปิ้ง จ.สมุทรปราการ รวมแล้วมีเป็น 500-1,000 ไร่ อยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง ขณะเดียวกัน กคช. เองก็มีแลนด์แบงก์สะสมทั้งแปลงเล็กแปลงใหญ่ กระจายอยู่ในแนวรถไฟฟ้าทุกเส้นทางที่รัฐมีนโยบายจะลงทุนสร้างอีกจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ เพียง แต่ทำเลอาจจะอยู่ย่านสถานีปลายทางออกไปนอกเมือง
ส่วนกรณีที่ทางกระทรวงคมนาคมมี นโยบายจะบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยให้ กคช.เป็นผู้รับผิดชอบพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้า ถือเป็นนโยบายที่ดีและพร้อมจะสนองตอบ โดยเฉพาะประเด็นที่รัฐบาลจะเป็นผู้เจรจาเพื่อจัดหาที่ราชพัสดุมาให้ กคช.พัฒนาโครงการ ในอดีต กคช.เองก็เคยมีความพยายามขอที่ดินราชพัสดุมาพัฒนาแต่ไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลชุดปัจจุบันเมื่อจะนำขึ้นมา ผลักดันอีกครั้งจึงถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้มีรายได้น้อยจะได้มีโอกาสได้พักอาศัยในเมือง
โดย กคช.มีแผนงานปกติที่เป็นแผนลงทุน 7 ปี (2555-2561) เป้าหมายคือจะพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการชุมชนน่าอยู่สบายอย่างยั่งยืน (Eco Village) ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 50,000 หน่วย โดยจะจัดสร้างก่อน เฟสแรก 25 โครงการ รวม 15,000 หน่วย คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ภายใน ปี 2556 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันแผนงานนโยบายที่รับมอบหมายจากรัฐบาลในการสร้างที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยตามสถานีรถไฟฟ้านั้น เรื่องปริมาณหรือจำนวนหน่วยไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าทำได้จริงกลไกตลาดจะทำหน้าที่เอง เพราะดีมานด์มีอยู่มหาศาล เพียงแต่จะต้องจัดหาที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการให้ได้ โดยกรอบนโยบายคือทำเลจะต้องอยู่ห่างสถานีรถไฟฟ้าในรัศมี 8-10 กม.
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภารกิจหลักจะเข้ามากำกับดูแลเพื่อให้แผนงานและโครงการลงทุนของกระทรวงมุ่งสู่แนวทางซินเนอร์ยีหรือบูรณาการ ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในกระทรวงด้วยกันเอง หรือบูรณาการระหว่างกระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานรัฐอื่น ๆ
โดยหนึ่งในแผนงานหลักที่เป็นงานเร่งด่วน คือการจัดทำนโยบายลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งระบบถนน ทางด่วน และระบบราง โดยเฉพาะแผนลงทุนระบบรางของประเทศต่อไปจะต้องเป็นรูปแบบของการบูรณาการแผนงานและการทำงานร่วมกัน
"การลงทุนระบบรางมีค่าใช้จ่ายสูงมาก เวลาคิดเรื่องระบบรางจะต้องคำนึงถึงระบบการเงินที่จะมาลงทุน แต่เดิมรัฐมุ่งลงทุนสร้างระบบราง แต่ปรากฏว่าระบบรางหรือรถไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นว่าสุดท้ายรัฐได้ประโยชน์เพียง นิดเดียว แต่เอกชนกลับเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ดังนั้นการลงทุนระบบรางหรือสาธารณูปโภคต่อไปนี้ รัฐจะต้องเป็นผู้ได้ผลประโยชน์สูงสุด"
รูปแบบที่มองไว้ กำลังดูเรื่องแผนลงทุนขององค์การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่เป็นผู้ลงทุนระบบราง มีการเวนคืนที่ดินมาก่อสร้างโครงการ แต่ไม่สามารถพัฒนาที่ดินได้ด้วยตนเองเพราะกฎหมายจัดตั้งไม่เปิดช่อง ดังนั้นในอนาคต เมื่อรัฐบาลลงทุนระบบรางแล้ว ที่ดินแนวรถไฟฟ้าทางรัฐ ก็จะต้องเป็นผู้ลงทุนพัฒนาที่ดินด้วย เพื่อให้รัฐได้เป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุด
ทั้งนี้แนวทางที่มองไว้คือ กระทรวงคมนาคม โดย รฟม.เป็นผู้ลงทุนระบบราง ขณะที่จะบูรณาการให้ทางการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นผู้พัฒนาที่ดินตามแนวโครงการเมกะโปรเจ็กต์รถไฟฟ้าของรัฐบาล ซึ่งจะตรงกับที่พรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะออกนโยบายให้มีที่อยู่อาศัยให้เช่าในแนวรถไฟฟ้าหรืออยู่แนวสถานีรถไฟฟ้าสำหรับผู้มีรายได้น้อย
"นโยบายนี้มีการหารือระดับรัฐมนตรีของพรรคแล้ว โดยจะเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมกับการเคหะฯ ซึ่งอยู่ในกำกับดูแล ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตอนนี้รอให้ทุกอย่างลงตัวจะมีการประกาศนโยบาย ต่อไป โดยเส้นทางที่น่าจะเริ่มได้ก่อนเป็นอันดับต้น ๆ คือแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่วนที่ดินที่จะนำมาพัฒนาอาจจะเป็นที่ดินของการเคหะฯหรือที่ราชพัสดุหรือรัฐลงทุนซื้อที่ดินเอกชนเข้ามาพัฒนาขึ้นกับความเหมาะสมและความคุ้มค่าการลงทุน" ดร.ชัชชาติกล่าว
นายวิฑูรย์ เจียสกุล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" เพิ่มเติมเรื่องเดียวกันนี้ว่า ได้มีการเรียกไปหารือและรับทราบอย่างไม่เป็นทางการแล้วในระดับนโยบาย โดย กคช.มีความพร้อมสนองตอบนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย
ทั้งนี้ กคช.มีแลนด์แบงก์ในมืออยู่หลายแปลง โดยแปลงที่พร้อมที่สุดจะอยู่บริเวณบางปู บางปิ้ง จ.สมุทรปราการ รวมแล้วมีเป็น 500-1,000 ไร่ อยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง ขณะเดียวกัน กคช. เองก็มีแลนด์แบงก์สะสมทั้งแปลงเล็กแปลงใหญ่ กระจายอยู่ในแนวรถไฟฟ้าทุกเส้นทางที่รัฐมีนโยบายจะลงทุนสร้างอีกจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ เพียง แต่ทำเลอาจจะอยู่ย่านสถานีปลายทางออกไปนอกเมือง
ส่วนกรณีที่ทางกระทรวงคมนาคมมี นโยบายจะบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยให้ กคช.เป็นผู้รับผิดชอบพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้า ถือเป็นนโยบายที่ดีและพร้อมจะสนองตอบ โดยเฉพาะประเด็นที่รัฐบาลจะเป็นผู้เจรจาเพื่อจัดหาที่ราชพัสดุมาให้ กคช.พัฒนาโครงการ ในอดีต กคช.เองก็เคยมีความพยายามขอที่ดินราชพัสดุมาพัฒนาแต่ไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลชุดปัจจุบันเมื่อจะนำขึ้นมา ผลักดันอีกครั้งจึงถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้มีรายได้น้อยจะได้มีโอกาสได้พักอาศัยในเมือง
โดย กคช.มีแผนงานปกติที่เป็นแผนลงทุน 7 ปี (2555-2561) เป้าหมายคือจะพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้โครงการชุมชนน่าอยู่สบายอย่างยั่งยืน (Eco Village) ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 50,000 หน่วย โดยจะจัดสร้างก่อน เฟสแรก 25 โครงการ รวม 15,000 หน่วย คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ภายใน ปี 2556 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันแผนงานนโยบายที่รับมอบหมายจากรัฐบาลในการสร้างที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยตามสถานีรถไฟฟ้านั้น เรื่องปริมาณหรือจำนวนหน่วยไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าทำได้จริงกลไกตลาดจะทำหน้าที่เอง เพราะดีมานด์มีอยู่มหาศาล เพียงแต่จะต้องจัดหาที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการให้ได้ โดยกรอบนโยบายคือทำเลจะต้องอยู่ห่างสถานีรถไฟฟ้าในรัศมี 8-10 กม.
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ