
กลุ่มทุนดีเวลอปเปอร์สิงคโปร์-ไทย รุมตอมที่ดิน 15 ไร่ โครงการเดอะ พาโน หวังจีบขึ้นศูนย์การค้า-คอมมิวนิตี มอลล์ "เคแลนด์" คาดได้ข้อสรุปกลางปีหน้า ขึ้นโครงการไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้าน ขณะเดียวกันเล็งอีก 3 โปรเจ็กต์แนวราบจับตลาด 7-10 ล้าน มั่นใจผู้ประกอบการกำลังซื้อยังสูง แม้เศรษฐกิจยุโรปมีปัญหา
นายธงชัย คุณากรปรมัตถ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือเคแลนด์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มทุนต่างชาติ 2-3 ราย และดีเวลอปเปอร์ไทยที่สนใจจะเข้ามาพัฒนาโครงการเดอะ พาโน เฟส 2 ที่ยังมีที่ดินเหลืออีก 15 ไร่ ที่สามารถพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ ซึ่งบริษัทคาดว่าการเจรจาการลงทุนพัฒนาโครงการ จะมีข้อสรุปได้ในช่วงกลางปีหน้านี้ รูปแบบการพัฒนาในส่วนบริษัทยังคงเป็นที่อยู่อาศัยเป็นหลัก แต่ส่วนผู้ร่วมทุนอาจจะพัฒนาเป็นศูนย์การค้า หรือคอมมิวนิตี มอลล์ ซึ่งมีมูลค่าการพัฒนาไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท
นายธงชัย กล่าวว่า นอกจากโครง การเฟส 2 ของเดอะพาโน ในปีหน้าบริษัท มีแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่อีก 3 โครง การในรูปแบบบ้านเดี่ยว ระดับราคา 7-10 ล้านบาท ได้แก่ โครงการย่านพุทธมณฑล สาย 2-3 มูลค่าโครงการละ 2,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาด 100 ไร่ โครงการย่าน ถนนวงแหวนตะวันออก โซนอุดมสุข บนเนื้อที่ประมาณ 75 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ส่วนโครงการเดอะแกรนด์ พระ- ราม 2 ยังมีพื้นที่เหลือสำหรับการพัฒนาเฟสต่อเนื่องได้อีกมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท
"ตลาดหลักที่บริษัทพัฒนาจะมีระดับราคาบวกลบประมาณ 10 ล้านบาท แต่คงไม่ได้จำกัดตัวเองว่าต้องทำตลาดระดับบนอย่างเดียว แต่คงต้องดูเรื่องที่ตั้ง เป็นหลักว่าจะซื้อที่ดินได้ในราคาที่พัฒนาตลาดที่ต่ำลงมาได้หรือไม่ ส่วนรูปแบบการพัฒนาก็ยังคงเน้นแนวราบ เพราะตลาดคอนโดฯ ปัจจุบันซัพพลายในตลาดมีมาก และการพัฒนาโครงการต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่หากได้ที่ดินทำเลดีๆ ก็คงพัฒนาและคงจะพัฒนาโครงการไม่ใหญ่มากนัก เพราะบริษัทยังไม่พร้อมที่จะลงทุน แล้วมีหนี้สินจำนวนมาก" นายธงชัย กล่าวและว่า
โครงการเดอะ พาโน ซึ่งถือว่าเป็น โครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 10 ไร่ ที่ร่วมทุนกับกลุ่มเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ จากสิงคโปร์ ในนามบริษัท ริเวอร์ไซด์ โฮมส์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด นั้นส่งผลให้บริษัท มีหนี้สินมากถึง 4,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 1,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทต้องมีความระมัดระวังในการพัฒนา โครงการ แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จด้วยดี ปัจจุบันเหลือขายเพียง 20% โดยห้องพักในอาคารสูงจำนวน 345 ยูนิต มียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 260 ยูนิต
นายธงชัย กล่าวเพิ่มว่า โครงการปัจจุบันของบริษัทที่ยังมีเหลือขาย ได้แก่ เดอะ แกรนด์ พระราม 2 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า10,000 ล้านบาท พื้นที่กว่า 700 ไร่ ปัจจุบันเปิด 5 เฟสแรกที่ขายมาตั้งแต่ 3 ปี ใช้ที่ดินในการพัฒนาไปกว่า 50% คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการขายทั้งสิ้น 7-8 ปี จึงจะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมด โครง การ บ้านราชพฤกษ์ บางบอน ที่เหลือขาย เพียง 6 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 30-40 ล้านบาท และโครงการเออร์เบิน สาทร ซึ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ระดับพรีเมียม สูง 3 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 80 ไร่ปัจจุบันพัฒนาไปแล้ว กว่า 50 ไร่ มียอดขายกว่า 2,000 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมดกว่า 3,000 ล้านบาท และมีแผนจะนำที่ดินที่เหลืออีกกว่า 20 ไร่ เปิดขายเฟสต่อเนื่อง จำนวนกว่า 100 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 500-600 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายการเติบโตของบริษัทนั้น ไม่ได้มองการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่มองเรื่องของการเติบโตอย่าง มั่นคง หากมีจังหวะที่ดีการเติบโตแบบก้าว กระโดดก็เป็นไปได้ แต่ตอนนั้นคงต้องมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ซึ่งเป้าหมายด้านรายได้ปีนี้คงวางไว้ 4,000 ล้านบาท ปีต่อไปรายได้คงอยู่ในอัตราใกล้เคียงกัน ซึ่งปีนี้บริษัทก็ซื้อที่ดินไป 300 ไร่ มูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนา โครงการต่อไป" นายธงชัย กล่าวและว่า
ส่วนปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ได้กระทบต่อโครงการของบริษัทแต่อย่างใด แม้กระทั่งโครงการ เดอะ พาโน ที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากทางกรุงเทพมหานครได้มีการทำแนวกันน้ำป้องกันไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทก็เตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมไว้แล้วเช่นกัน ส่วนแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ส่งออก เนื่องจากตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเหล่านั้นมีอัตราการเติบโตที่ดีมาต่อเนื่องแล้ว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,679 16 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554
นายธงชัย คุณากรปรมัตถ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือเคแลนด์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มทุนต่างชาติ 2-3 ราย และดีเวลอปเปอร์ไทยที่สนใจจะเข้ามาพัฒนาโครงการเดอะ พาโน เฟส 2 ที่ยังมีที่ดินเหลืออีก 15 ไร่ ที่สามารถพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ ซึ่งบริษัทคาดว่าการเจรจาการลงทุนพัฒนาโครงการ จะมีข้อสรุปได้ในช่วงกลางปีหน้านี้ รูปแบบการพัฒนาในส่วนบริษัทยังคงเป็นที่อยู่อาศัยเป็นหลัก แต่ส่วนผู้ร่วมทุนอาจจะพัฒนาเป็นศูนย์การค้า หรือคอมมิวนิตี มอลล์ ซึ่งมีมูลค่าการพัฒนาไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท
นายธงชัย กล่าวว่า นอกจากโครง การเฟส 2 ของเดอะพาโน ในปีหน้าบริษัท มีแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่อีก 3 โครง การในรูปแบบบ้านเดี่ยว ระดับราคา 7-10 ล้านบาท ได้แก่ โครงการย่านพุทธมณฑล สาย 2-3 มูลค่าโครงการละ 2,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาด 100 ไร่ โครงการย่าน ถนนวงแหวนตะวันออก โซนอุดมสุข บนเนื้อที่ประมาณ 75 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ส่วนโครงการเดอะแกรนด์ พระ- ราม 2 ยังมีพื้นที่เหลือสำหรับการพัฒนาเฟสต่อเนื่องได้อีกมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท
"ตลาดหลักที่บริษัทพัฒนาจะมีระดับราคาบวกลบประมาณ 10 ล้านบาท แต่คงไม่ได้จำกัดตัวเองว่าต้องทำตลาดระดับบนอย่างเดียว แต่คงต้องดูเรื่องที่ตั้ง เป็นหลักว่าจะซื้อที่ดินได้ในราคาที่พัฒนาตลาดที่ต่ำลงมาได้หรือไม่ ส่วนรูปแบบการพัฒนาก็ยังคงเน้นแนวราบ เพราะตลาดคอนโดฯ ปัจจุบันซัพพลายในตลาดมีมาก และการพัฒนาโครงการต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่หากได้ที่ดินทำเลดีๆ ก็คงพัฒนาและคงจะพัฒนาโครงการไม่ใหญ่มากนัก เพราะบริษัทยังไม่พร้อมที่จะลงทุน แล้วมีหนี้สินจำนวนมาก" นายธงชัย กล่าวและว่า
โครงการเดอะ พาโน ซึ่งถือว่าเป็น โครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 10 ไร่ ที่ร่วมทุนกับกลุ่มเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ จากสิงคโปร์ ในนามบริษัท ริเวอร์ไซด์ โฮมส์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด นั้นส่งผลให้บริษัท มีหนี้สินมากถึง 4,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 1,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทต้องมีความระมัดระวังในการพัฒนา โครงการ แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จด้วยดี ปัจจุบันเหลือขายเพียง 20% โดยห้องพักในอาคารสูงจำนวน 345 ยูนิต มียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 260 ยูนิต
นายธงชัย กล่าวเพิ่มว่า โครงการปัจจุบันของบริษัทที่ยังมีเหลือขาย ได้แก่ เดอะ แกรนด์ พระราม 2 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า10,000 ล้านบาท พื้นที่กว่า 700 ไร่ ปัจจุบันเปิด 5 เฟสแรกที่ขายมาตั้งแต่ 3 ปี ใช้ที่ดินในการพัฒนาไปกว่า 50% คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการขายทั้งสิ้น 7-8 ปี จึงจะสามารถปิดการขายได้ทั้งหมด โครง การ บ้านราชพฤกษ์ บางบอน ที่เหลือขาย เพียง 6 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 30-40 ล้านบาท และโครงการเออร์เบิน สาทร ซึ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ระดับพรีเมียม สูง 3 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 80 ไร่ปัจจุบันพัฒนาไปแล้ว กว่า 50 ไร่ มียอดขายกว่า 2,000 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมดกว่า 3,000 ล้านบาท และมีแผนจะนำที่ดินที่เหลืออีกกว่า 20 ไร่ เปิดขายเฟสต่อเนื่อง จำนวนกว่า 100 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 500-600 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายการเติบโตของบริษัทนั้น ไม่ได้มองการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่มองเรื่องของการเติบโตอย่าง มั่นคง หากมีจังหวะที่ดีการเติบโตแบบก้าว กระโดดก็เป็นไปได้ แต่ตอนนั้นคงต้องมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ซึ่งเป้าหมายด้านรายได้ปีนี้คงวางไว้ 4,000 ล้านบาท ปีต่อไปรายได้คงอยู่ในอัตราใกล้เคียงกัน ซึ่งปีนี้บริษัทก็ซื้อที่ดินไป 300 ไร่ มูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนา โครงการต่อไป" นายธงชัย กล่าวและว่า
ส่วนปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ได้กระทบต่อโครงการของบริษัทแต่อย่างใด แม้กระทั่งโครงการ เดอะ พาโน ที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากทางกรุงเทพมหานครได้มีการทำแนวกันน้ำป้องกันไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทก็เตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมไว้แล้วเช่นกัน ส่วนแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้ส่งออก เนื่องจากตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเหล่านั้นมีอัตราการเติบโตที่ดีมาต่อเนื่องแล้ว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,679 16 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554