นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นจูรี่ 21 เรียลลิตี้ แอฟฟิลิเอทส์(ประเทศไทย) บริษัทตัวแทนนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า ยังมีปัจจัยเสี่ยงสูงหลายด้าน อาทิ ความไม่แน่นอนทางการเมือง อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น การขยับขึ้นของราคาที่ดินและวัสดุก่อสร้าง
ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องระวังมากที่สุด เนื่องจากเป็นดัชนีฉุดความเชื่อมั่นการลงทุนต่างชาติ โดยช่วงเวลาที่ต้องระวังมากที่สุด คือ ช่วงไตรมาส 2 ปี2555 เนื่องจากเริ่มมีหลายฝ่ายออกมาคาดการณ์ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองเกิดขึ้น
ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าเป็นห่วง เพราะจากภาพข่าวที่ออกไปกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนไปมากเช่นกัน เห็นได้จากไตรมาส 4 ของปีนี้ หลายบริษัทในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยอดขายหายไปกว่า50% เช่นเดียวกับยอดขายของบริษัทที่หายไป 20-50% หรือมียอดขายเหลือ 200-300 ล้านบาทต่อเดือน จากปกติมียอดขายเดือนละ500 ล้านบาท
ในปีหน้าคาดว่ากลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยว เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มหันไปสนใจคอนโดมิเนียมแทน หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งทำเลคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะได้รับความนิยมหลังจากนี้ พื้นที่สุขุมวิทยังครองแชมป์ทำเลที่ผู้บริโภคมีความต้องการสูงสุด โดยเฉพาะเพลินจิตถึงเอกมัย
ปัจจุบันราคาที่ดินในทำเลถนนสุขุมวิท เพลินจิต เอกมัย มีการปรับขึ้นพอสมควร และในปีหน้าคาดว่าจะปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก 10-15%โดยในส่วนของทำเลสุขุมวิทจนถึงอโศกจะมีราคาขายเริ่มต้นที่ 2-3.5 แสนบาทต่อ ตร.ว.
ขณะที่ทำเลบริเวณศูนย์การค้าเอ็มโพเรียมมีราคาตั้งแต่ 9 แสน-1 ล้านบาทต่อ ตร.ว. ทำเลทองหล่อถึงเอกมัย ราคาตั้งแต่ 8 แสน-1.1 ล้านบาทต่อ ตร.ว. และพระโขนงจนถึงบางนามีราคาเริ่มต้น 3-4 แสนบาทต่อตร.ว.
สำหรับทำเลในตลาดต่างจังหวัดที่มีความต้องการสูงมากในปัจจุบันคือ หัวหินและพัทยา ในปีหน้าคาดว่าจะยังคงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอสังหาฯ เข้าไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากเพราะเป็นที่ต้องการของตลาด ขณะที่นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่และภูเก็ต ก็มีแนวโน้มที่จะมีนักลงทุนเข้าไปทำธุรกิจมากขึ้น
ด้านความคืบหน้าโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งบริษัทกำลังพิจารณาที่ดินใน 3 ทำเลในย่านรัชดา ลาดพร้าว สุขุมวิทและพระราม 1 นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหาผู้ร่วมทุนจากประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท มูลค่ารวมโครงการไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องระวังมากที่สุด เนื่องจากเป็นดัชนีฉุดความเชื่อมั่นการลงทุนต่างชาติ โดยช่วงเวลาที่ต้องระวังมากที่สุด คือ ช่วงไตรมาส 2 ปี2555 เนื่องจากเริ่มมีหลายฝ่ายออกมาคาดการณ์ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองเกิดขึ้น
ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าเป็นห่วง เพราะจากภาพข่าวที่ออกไปกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนไปมากเช่นกัน เห็นได้จากไตรมาส 4 ของปีนี้ หลายบริษัทในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยอดขายหายไปกว่า50% เช่นเดียวกับยอดขายของบริษัทที่หายไป 20-50% หรือมียอดขายเหลือ 200-300 ล้านบาทต่อเดือน จากปกติมียอดขายเดือนละ500 ล้านบาท
ในปีหน้าคาดว่ากลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยว เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มหันไปสนใจคอนโดมิเนียมแทน หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งทำเลคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะได้รับความนิยมหลังจากนี้ พื้นที่สุขุมวิทยังครองแชมป์ทำเลที่ผู้บริโภคมีความต้องการสูงสุด โดยเฉพาะเพลินจิตถึงเอกมัย
ปัจจุบันราคาที่ดินในทำเลถนนสุขุมวิท เพลินจิต เอกมัย มีการปรับขึ้นพอสมควร และในปีหน้าคาดว่าจะปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก 10-15%โดยในส่วนของทำเลสุขุมวิทจนถึงอโศกจะมีราคาขายเริ่มต้นที่ 2-3.5 แสนบาทต่อ ตร.ว.
ขณะที่ทำเลบริเวณศูนย์การค้าเอ็มโพเรียมมีราคาตั้งแต่ 9 แสน-1 ล้านบาทต่อ ตร.ว. ทำเลทองหล่อถึงเอกมัย ราคาตั้งแต่ 8 แสน-1.1 ล้านบาทต่อ ตร.ว. และพระโขนงจนถึงบางนามีราคาเริ่มต้น 3-4 แสนบาทต่อตร.ว.
สำหรับทำเลในตลาดต่างจังหวัดที่มีความต้องการสูงมากในปัจจุบันคือ หัวหินและพัทยา ในปีหน้าคาดว่าจะยังคงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอสังหาฯ เข้าไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากเพราะเป็นที่ต้องการของตลาด ขณะที่นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่และภูเก็ต ก็มีแนวโน้มที่จะมีนักลงทุนเข้าไปทำธุรกิจมากขึ้น
ด้านความคืบหน้าโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งบริษัทกำลังพิจารณาที่ดินใน 3 ทำเลในย่านรัชดา ลาดพร้าว สุขุมวิทและพระราม 1 นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหาผู้ร่วมทุนจากประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท มูลค่ารวมโครงการไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์