หลังหวนนั่งเก้าอี้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นครั้งที่ 2 สำหรับ "ดำรงค์ พิเดช" ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ ไม่ธรรมดาออกแนวบู๊เป็นผู้พิทักษ์ป่า จนกลายเป็นข่าวออกตามสื่อต่างๆอย่างต่อเนื่อง "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษถึงนโยบายแก้ปัญหากระบวนการบุกรุกพื้นที่อุทยาน และทิศทางของกรมอุทยานแห่งชาติฯ
+++ปัญหารุกป่า
ปัญหาบุกรุกป่าแต่ละภาคจะไม่เหมือนกัน ภาคอีสาน จะเป็นลักษณะบุกรุกจากพื้นราบขึ้นที่สูงและปลูกพืชไร่ทั่วๆไป ส่วนภาคเหนือ การบุกรุกส่วนใหญ่จะรุกจากที่สูงหรือ ยอดเขา ลงสู่พื้นราบ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเขาอพยพ ปลูกกะหล่ำปลีปลูกพืชในเขตต้นน้ำ หน่วยงานสนามของกรม จะควบคุมไม่ให้ขยายวงไปมากกว่านี้ ส่วนภาคใต้เป็นลักษณะบุกรุก ปลูกสวนยางพารา โดยใช้พื้นที่อุทยานจากการตรวจสอบทั่วประเทศ พบว่า บุกรุกปลูกยางพารามากกว่า 400,000 ไร่ อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ประมาณเกือบ 200,000 ไร่ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา จังหวัดเดียวกว่า 100,000 ไร่ รองลงมา คือนครศรีธรรมราช ที่ผ่านมามีทั้งต้นยางทั้งโตและเพิ่งปลูกใหม่ ส่วนที่โตแล้วจะให้ทำกินต่อไป แต่จะไม่ให้ปลูกเพิ่มและตัด แต่ผ่อนผันให้เก็บเกี่ยวได้ ส่วนที่ปลูกใหม่จะตัดทิ้งทำลายทั้งหมด ตามมาตรา 25 มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ. ) อุทยาน โดยจะไม่ยอมให้ปลูกใหม่เด็ดขาด หากไม่ดำเนินการกวาดล้าง ไม่เกิน 10 ปี พื้นที่อุทยานทางบกของภาคใต้จะเป็นป่ายางทั้งหมด ดังจะเห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดกับพี่น้องชาวใต้ทั้งหมด จะรุนแรง ฝนตกน้ำท่วมเพราะพื้นป่าหมดไป ไม่อุ้มและชะลอน้ำ
ถ้าวันนี้ปล่อยให้รุกป่าปลูกยางลามไปถึงยอดเขา มีการผ่อนผัน เปิดให้กลุ่มอิทธิพลนักการเมืองครอบงำ ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศจะตกอยู่ในภาวะน่าห่วงมาก อย่างก็ดี อุทยานทั่วประเทศที่กำหนดเป็นเขตอนุรักษ์ทั่วประเทศ 73 ล้านไร่ อุทยานที่ประกาศแล้ว 123 แห่ง เขตรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าเกือบ 200 แห่ง พื้นที่ต้นน้ำ 300 แห่ง แต่การบุกรุกยังเกิดขึ้นมาก หากจะให้ จับกุมทั้งหมด ตอบได้เลยว่าคงไม่ได้ เพราะปัญหาส่วนใหญ่จะหาเจ้าของไม่พบ บางแห่งไปเจาะอยู่กลางป่าทิ้งไว้ 3-4 ปี กลับเข้ามาใหม่ต้นยางก็โตแล้ว ปัญหาภาคใต้มีอิทธิพลการเมืองสูงเจ้าหน้าที่ทำงานลำบากมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็มีมาตรการดำเนินการ ดังกล่าว ขณะนี้เราได้ลงภาคใต้เพื่อดำเนินคดี ปลูกยางรุกอุทยาน 50% อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีพฤติกรรมเป็นนายทุนจ่ายเงินให้ลูกมือหรือ นอมินีบุกรุกปลูกแทนและเก็บเกี่ยวผลผลิต
+++รีสอร์ตรุกอุทยาน
คดีรีสอร์ตที่นายทุนบุกรุกพื้นที่อุทยาน กรมจับและดำเนินการทางคดีหมดแล้ว ทั้งหมดประมาณ 352 คดี 50% อยู่ที่วังน้ำเขียว มีทั้งมีตัวตนและไม่มีตัวตน ขณะนี้ให้เจ้าหน้าที่สำรวจหมดแล้วมีที่จับกุมขณะนี้รอคำสั่งศาล ส่งผลให้คดีหลงเหลือวันนี้แทบจะไม่มีแล้ว ทั้งนี้ในจำนวน 352 คดี แต่ละคดีจะแยกออกไปว่ามีสิ่งก่อสร้างหรือไม่มีหรือเป็นพื้นที่เกษตร หรือเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ส่วนรายเล็กๆ ที่เป็นชาวบ้านเราดูตามสภาพความเป็นจริง เขาทำกินตามอัตภาพก็ปล่อยให้เขาอยู่ไป ประกาศก่อนป่าหลังป่าค่อยมาว่ากัน แต่อยู่ๆไปเปลี่ยนมือเป็นรีสอร์ต บางครั้งเรารู้ว่าคนอื่นมาลงทุนในนามชาวบ้านเจ้าของที่ดิน มันปิดบังไม่ได้มาสร้าง 40-50 ห้องพักขึ้นมาเฉยๆมันผิดปกติ นายทุนเดี๋ยวนี้ฉลาด แทนจะใช้ชื่อเขาเองก็ใช้ชื่อชาวบ้านคนเดิมแทนแม้จะซื้อที่ดินไปแล้ว เดิมที่เคยเป็นเกษตรกรยากจน ใช้ชื่อชาวบ้านสวมสิทธิ์ ใช้นอมินี เราก็จับ พฤติกรรมแบบนี้มี แต่ไม่มาก ที่วังน้ำเขียวเริ่มมีแบบนี้ พอจับ ก็ขอให้เจ้าของที่เดิม แสดงตัว เขาก็กลัวโดนจับติดคุก ก็บอกความจริง ว่า รับจ้างใช้ชื่อสวมสิทธิ์แทนซึ่ง หากนายทุนจ้างน้อยก็ไม่คุ้ม หากจ้างมากก็อาจจะรับ และยืนยันว่าเป็นเจ้าของรีสอร์ตแทนแต่ก็จับได้
ผมจะดูตามสถานะหลอกกันไม่ได้ โดยจะตรวจสอบที่มาที่ไปประวัติ เดิมแจ้งการครอบครองกี่ไร่ ทำอะไร หลังจากนั้นทำอะไร เพราะทุกคนล้วนแต่เป็นเกษตรกรยากจน วันดีคืนดี มีรีสอร์ตมูลค่า 100ล้านบาท เป็นไปไม่ได้ ขายให้นายทุนและใช้ชื่อเป็นนอมินีแน่นอน อย่างไรก็ดี วันนี้ ถ้ากรมอุทยานฯไม่ทลายวังน้ำเขียว วันข้างหน้าก็จะลามไปเขาใหญ่ และจะต่อตัวไปไม่จบไม่สิ้น จากหน่วยเล็กๆ ก็จะลามเป็นภาคๆ ถ้าวันนี้อุทยานเอาไม่อยู่ ก็จะเลียนแบบวังน้ำเขียวหมด ในที่สุดอุทยานทั่วประเทศก็เหลือแต่ในแผนที่
+++วังน้ำเขียวเขตป่าทับซ้อน
สำหรับวังน้ำเขียวไม่ทับซ้อนกันแน่นอน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตอุทยาน ได้ประกาศทับเขตป่าสงวนของกรมป่าไม้เดิม คือเดิม เป็นป่าสงวน ปี 2484 ต่อมา วันที่ 30 มิถุนายน 2541 พิสูจน์สิทธิ์ การถือครอง ไม่ใช่พิสูจน์เขตอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แต่ พิสูจน์ว่า พื้นที่แห่งนี้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติเมื่อไหร่ หากใครอยู่ก่อนประกาศเขตป่าสงวน ที่ไม่ใช่เขตอุทยาน แต่อุทยานมาทีหลัง ต่อมาได้ประกาศทับเขตป่าสงวนอีกที ดังนั้นพื้นที่มันชัดเจนหมดว่า อยู่ในเขตอุทยาน ถึงอย่างไรก็ผิด และหากกระทำผิด ตามกฎหมายอุทยานไม่สามารถผ่อนปรนได้ แต่กลับเป็นกฎหมายที่เข้มมากกว่า ป่าสงวนเสียอีก
+++352สำนวนคดี
ในจำนวน 352 คดีฟ้องร้องศาลกรณีรีสอร์ตบุกรุกที่อุทยาน ส่วนใหญ่เป็นคดีใหญ่ๆ ต่อปี ได้ทำลายทั้งรีสอร์ต และไม่ใช่รีสอร์ต กว่า 20,000 ไร่ อย่างน้อย 352 คดี รุกป่าถึง 10,000 ไร่ อันดับ1 คือ วังน้ำเขียว ลองลงมาเป็น เชียงใหม่ ขั้นตอนทุกอย่างรอศาล ถ้าเขาสู้คดีก็ต้องรอถึง 3 ศาล มันนาน ผมเกษียณไปแล้ว ยังไม่เสร็จไม่หมดเลย ระเบียบมันเป็นอย่างนั้นต้องสู้กันในศาล เหมือนวังน้ำเขียวเขาสู้กันมานาน แต่ที่เป็นข่าว ศาลพิพากษาคดียุติแล้ว อุทยานชนะคดี 42 คดี ใน 42 คดี เขายื่นศาลปกครอง เพื่อขอบรรเทาเกือบ 20 คดี อีก 10 กว่าคดีกำลังยื่นเช่นกัน ก็เหลือ 8คดีที่คดีสิ้นสุดและรื้อถอน ถือว่าจบสิ้นแล้ว เราต้องเอาศาลเป็นที่ตั้ง
+++ยึดแล้วทำอะไร
ผลสุดท้ายที่ยึด และทุบรีสอร์ต เราจะนำพื้นที่ไปปลูกป่า ค่อยๆเสริมเป็นหย่อมๆ เพราะที่เราจับไม่ติดต่อกัน จะเป็นลักษณะป่าที่เกิดจากการปลูกใหม่แทนที่รีสอร์ตที่รื้อถอนเป็นหย่อมในพื้นที่วังน้ำเขียว และในที่สุดก็กลืนเต็มพื้นที่ พื้นที่ไหนรื้อถอนออกจากพื้นที่ก่อนก็ปลูกก่อน เพราะพื้นที่ที่บุกรุกเป็นต้นน้ำลำธารทั้งนั้น ต้นน้ำลำพระเพลิงที่ผ่านมา ได้คุยกับกรมป่าไม้ แต่กรมป่าไม้อำนาจไม่เหมือนกรมอุทยาน ป่าไม้การรื้อถอนต้องให้นายอำเภอเซ็น ถ้าอำเภอไม่เซ็นก็ทำอะไรลำบาก ต้องเห็นชอบทางปกครอง กรมอุทยาน อธิบดี มีอำนาจรื้อถอนโดยตรง ตามมาตรา 22 ของพ.ร.บ.อุทยานให้อำนาจเต็มๆ
++++ วังน้ำเขียวจะทำเป็นอะไร
วังน้ำเขียวที่ยึดได้ จะทำเป็นป่าอย่างเดียว โดยจะให้เป็นป่าต้นน้ำลำพระเพลิง เดี๋ยวป่าก็ล้อมเอง ป่าจะบีบคนออกไปโดยอัตโนมัติ วังน้ำเขียวอากาศดี ทุกวันนี้วังน้ำเขียวมีรีสอร์ตที่ถูกต้องก็มี มีโฉนด กว่า 20,000 ไร่ ที่ ส.ป.ก.อีก 100,000-200,000 ไร่ ป่าสงวนอีกส่วนหนึ่ง ที่ถูกต้องก็มีไปพักได้ คนมีเงิน ควรไปซื้อที่ดินที่ถูกต้อง นักลงทุนซื้อต่อชาวบ้าน รายได้งามชาวบ้านก็ขาย พอขายเสร็จ ก็ไปบุกรุกแผ้วถางป่าต่อไม่จบไม่สิ้น
+++เปิดช่องทำเกษตรเชิงนิเวศ
ในวังน้ำเขียว มี 3 หน่วยงาน คือ กรมป่าไม้ ส.ป.ก. และ กรมอุทยาน ซึ่งพื้นที่ที่ยึดมา หน่วยงานอื่นไม่ทราบ แล้วแต่นโยบาย แต่ กรมอุทยานไม่มีกฎหมายเปิดโอกาส ให้นายทุนเข้ามาทำเชิงเกษตร ส.ป.ก.ทำได้ ป่าสงวนโซนซีทำได้ แต่อุทยานตายตัว นอกจากเพิกถอนเข้า คณะกรรมการอุทยานเป็นเรื่องใหญ่ ขนาดโครงการในพระราชดำริที่ถูกรุกล้ำ ยังใช้เวลานานกว่าจะเพิกถอนได้ พื้นที่วังน้ำเขียว ซึ่งเป็นเขตอุทยาน ประมาณ 11% ของ 73 ล้านไร่
+++จับรายใหญ่
ขณะนี้เป็นรายใหม่ที่บุกรุก เราได้เดินทางไปจับนายทุนรุกป่าที่เชียงใหม่ รายเดียวเกือบ 800 ไร่ เป็นคนดัง และมีผู้นำท้องถิ่นร่วมมือ เวลาเขาครอบครองเขาจะไม่ใช้ชื่อตนเอง แต่ไปซื้อถูกๆไร่ละ 5,000-6,000 บาทในเขตอุทยาน ตอนนี้กว้านซื้ออย่างเดียวมีหลักฐาน กำนันร่วมมือกัน ไม่ต้องหมายศาลใช้อำนาจอธิบดีได้เลย วิธีการ ที่ทำกัน ซื้อทิ้งๆไว้ ที่ดินราคาถูก ใครก็ชื้อ ชาวบ้านบอกปากเปล่า ชี้ไปเรื่อย ว่า มีเอกสารสิทธิไร่ละ 5,000-6,000 บาท ได้เงิน ผู้ใหญ่บ้าน อบต.ก็ร่วมมือกัน ออก ภ.บ.ท.5 ภาษียอดหญ้าในที่อุทยาน
+++กระเช้าภูกระดึง
กระเช้าภูกระดึงขณะนี้ผ่าน ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแล้ว เห็นชอบให้ก่อสร้างได้ วงเงิน 20 ล้านบาทใช้พื้นที่ 3 ไร่ ปัจจุบันได้ขออนุญาต ทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
หลายคนเป็นห่วงจะกระทบต่อต้นไม้ ผมยืนยันว่า แทบไม่เสียต้นไม้เลย เพราะเป็นกระเช้าลอยฟ้าเหมือนต่างประเทศ เหตุผลที่ อยากให้สร้างเพราะเห็นภาพลูกหาบลำบากโดยเฉพาะผู้หญิง ขณะเดียวกัน ทุกคนมีปัญหาข้อเข่าเสื่อม จาก 1,700 คน เหลือ 300 คน และมีปัญหาทะเลาะกันระหว่างลูกหาบกับนักท่องเที่ยวเรื่อง กระเป๋าที่ถึงไม่พร้อมกันหรือช้า ปัญหาขยะ น้ำ คน แต่หากทำกระเช้าคนสูงอายุก็เที่ยวได้ สามารถเดินทางไปกลับไม่ต้องพักค้างแรม ปัญหามลพิษก็หมดไป
"การสร้างกระเช้าทั่วโลกมีหมด สร้างโดยไม่ต้องใช้ตอหมด เป็นระบบเสาเจาะ คนแก่อยากขึ้นภูกระดึงก็ไปได้ ผมอยากให้ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ต่อไปลูกหาบให้ไปทำงานบริการด้านอื่น ตอนนี้รอแค่อีไอเอ ผ่าน"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,723 18-21 มีนาคม พ.ศ. 2555
ปัญหาบุกรุกป่าแต่ละภาคจะไม่เหมือนกัน ภาคอีสาน จะเป็นลักษณะบุกรุกจากพื้นราบขึ้นที่สูงและปลูกพืชไร่ทั่วๆไป ส่วนภาคเหนือ การบุกรุกส่วนใหญ่จะรุกจากที่สูงหรือ ยอดเขา ลงสู่พื้นราบ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเขาอพยพ ปลูกกะหล่ำปลีปลูกพืชในเขตต้นน้ำ หน่วยงานสนามของกรม จะควบคุมไม่ให้ขยายวงไปมากกว่านี้ ส่วนภาคใต้เป็นลักษณะบุกรุก ปลูกสวนยางพารา โดยใช้พื้นที่อุทยานจากการตรวจสอบทั่วประเทศ พบว่า บุกรุกปลูกยางพารามากกว่า 400,000 ไร่ อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ประมาณเกือบ 200,000 ไร่ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา จังหวัดเดียวกว่า 100,000 ไร่ รองลงมา คือนครศรีธรรมราช ที่ผ่านมามีทั้งต้นยางทั้งโตและเพิ่งปลูกใหม่ ส่วนที่โตแล้วจะให้ทำกินต่อไป แต่จะไม่ให้ปลูกเพิ่มและตัด แต่ผ่อนผันให้เก็บเกี่ยวได้ ส่วนที่ปลูกใหม่จะตัดทิ้งทำลายทั้งหมด ตามมาตรา 25 มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ. ) อุทยาน โดยจะไม่ยอมให้ปลูกใหม่เด็ดขาด หากไม่ดำเนินการกวาดล้าง ไม่เกิน 10 ปี พื้นที่อุทยานทางบกของภาคใต้จะเป็นป่ายางทั้งหมด ดังจะเห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดกับพี่น้องชาวใต้ทั้งหมด จะรุนแรง ฝนตกน้ำท่วมเพราะพื้นป่าหมดไป ไม่อุ้มและชะลอน้ำ
ถ้าวันนี้ปล่อยให้รุกป่าปลูกยางลามไปถึงยอดเขา มีการผ่อนผัน เปิดให้กลุ่มอิทธิพลนักการเมืองครอบงำ ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศจะตกอยู่ในภาวะน่าห่วงมาก อย่างก็ดี อุทยานทั่วประเทศที่กำหนดเป็นเขตอนุรักษ์ทั่วประเทศ 73 ล้านไร่ อุทยานที่ประกาศแล้ว 123 แห่ง เขตรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าเกือบ 200 แห่ง พื้นที่ต้นน้ำ 300 แห่ง แต่การบุกรุกยังเกิดขึ้นมาก หากจะให้ จับกุมทั้งหมด ตอบได้เลยว่าคงไม่ได้ เพราะปัญหาส่วนใหญ่จะหาเจ้าของไม่พบ บางแห่งไปเจาะอยู่กลางป่าทิ้งไว้ 3-4 ปี กลับเข้ามาใหม่ต้นยางก็โตแล้ว ปัญหาภาคใต้มีอิทธิพลการเมืองสูงเจ้าหน้าที่ทำงานลำบากมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็มีมาตรการดำเนินการ ดังกล่าว ขณะนี้เราได้ลงภาคใต้เพื่อดำเนินคดี ปลูกยางรุกอุทยาน 50% อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีพฤติกรรมเป็นนายทุนจ่ายเงินให้ลูกมือหรือ นอมินีบุกรุกปลูกแทนและเก็บเกี่ยวผลผลิต
+++รีสอร์ตรุกอุทยาน
คดีรีสอร์ตที่นายทุนบุกรุกพื้นที่อุทยาน กรมจับและดำเนินการทางคดีหมดแล้ว ทั้งหมดประมาณ 352 คดี 50% อยู่ที่วังน้ำเขียว มีทั้งมีตัวตนและไม่มีตัวตน ขณะนี้ให้เจ้าหน้าที่สำรวจหมดแล้วมีที่จับกุมขณะนี้รอคำสั่งศาล ส่งผลให้คดีหลงเหลือวันนี้แทบจะไม่มีแล้ว ทั้งนี้ในจำนวน 352 คดี แต่ละคดีจะแยกออกไปว่ามีสิ่งก่อสร้างหรือไม่มีหรือเป็นพื้นที่เกษตร หรือเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ส่วนรายเล็กๆ ที่เป็นชาวบ้านเราดูตามสภาพความเป็นจริง เขาทำกินตามอัตภาพก็ปล่อยให้เขาอยู่ไป ประกาศก่อนป่าหลังป่าค่อยมาว่ากัน แต่อยู่ๆไปเปลี่ยนมือเป็นรีสอร์ต บางครั้งเรารู้ว่าคนอื่นมาลงทุนในนามชาวบ้านเจ้าของที่ดิน มันปิดบังไม่ได้มาสร้าง 40-50 ห้องพักขึ้นมาเฉยๆมันผิดปกติ นายทุนเดี๋ยวนี้ฉลาด แทนจะใช้ชื่อเขาเองก็ใช้ชื่อชาวบ้านคนเดิมแทนแม้จะซื้อที่ดินไปแล้ว เดิมที่เคยเป็นเกษตรกรยากจน ใช้ชื่อชาวบ้านสวมสิทธิ์ ใช้นอมินี เราก็จับ พฤติกรรมแบบนี้มี แต่ไม่มาก ที่วังน้ำเขียวเริ่มมีแบบนี้ พอจับ ก็ขอให้เจ้าของที่เดิม แสดงตัว เขาก็กลัวโดนจับติดคุก ก็บอกความจริง ว่า รับจ้างใช้ชื่อสวมสิทธิ์แทนซึ่ง หากนายทุนจ้างน้อยก็ไม่คุ้ม หากจ้างมากก็อาจจะรับ และยืนยันว่าเป็นเจ้าของรีสอร์ตแทนแต่ก็จับได้
ผมจะดูตามสถานะหลอกกันไม่ได้ โดยจะตรวจสอบที่มาที่ไปประวัติ เดิมแจ้งการครอบครองกี่ไร่ ทำอะไร หลังจากนั้นทำอะไร เพราะทุกคนล้วนแต่เป็นเกษตรกรยากจน วันดีคืนดี มีรีสอร์ตมูลค่า 100ล้านบาท เป็นไปไม่ได้ ขายให้นายทุนและใช้ชื่อเป็นนอมินีแน่นอน อย่างไรก็ดี วันนี้ ถ้ากรมอุทยานฯไม่ทลายวังน้ำเขียว วันข้างหน้าก็จะลามไปเขาใหญ่ และจะต่อตัวไปไม่จบไม่สิ้น จากหน่วยเล็กๆ ก็จะลามเป็นภาคๆ ถ้าวันนี้อุทยานเอาไม่อยู่ ก็จะเลียนแบบวังน้ำเขียวหมด ในที่สุดอุทยานทั่วประเทศก็เหลือแต่ในแผนที่
+++วังน้ำเขียวเขตป่าทับซ้อน
สำหรับวังน้ำเขียวไม่ทับซ้อนกันแน่นอน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตอุทยาน ได้ประกาศทับเขตป่าสงวนของกรมป่าไม้เดิม คือเดิม เป็นป่าสงวน ปี 2484 ต่อมา วันที่ 30 มิถุนายน 2541 พิสูจน์สิทธิ์ การถือครอง ไม่ใช่พิสูจน์เขตอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แต่ พิสูจน์ว่า พื้นที่แห่งนี้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติเมื่อไหร่ หากใครอยู่ก่อนประกาศเขตป่าสงวน ที่ไม่ใช่เขตอุทยาน แต่อุทยานมาทีหลัง ต่อมาได้ประกาศทับเขตป่าสงวนอีกที ดังนั้นพื้นที่มันชัดเจนหมดว่า อยู่ในเขตอุทยาน ถึงอย่างไรก็ผิด และหากกระทำผิด ตามกฎหมายอุทยานไม่สามารถผ่อนปรนได้ แต่กลับเป็นกฎหมายที่เข้มมากกว่า ป่าสงวนเสียอีก
+++352สำนวนคดี
ในจำนวน 352 คดีฟ้องร้องศาลกรณีรีสอร์ตบุกรุกที่อุทยาน ส่วนใหญ่เป็นคดีใหญ่ๆ ต่อปี ได้ทำลายทั้งรีสอร์ต และไม่ใช่รีสอร์ต กว่า 20,000 ไร่ อย่างน้อย 352 คดี รุกป่าถึง 10,000 ไร่ อันดับ1 คือ วังน้ำเขียว ลองลงมาเป็น เชียงใหม่ ขั้นตอนทุกอย่างรอศาล ถ้าเขาสู้คดีก็ต้องรอถึง 3 ศาล มันนาน ผมเกษียณไปแล้ว ยังไม่เสร็จไม่หมดเลย ระเบียบมันเป็นอย่างนั้นต้องสู้กันในศาล เหมือนวังน้ำเขียวเขาสู้กันมานาน แต่ที่เป็นข่าว ศาลพิพากษาคดียุติแล้ว อุทยานชนะคดี 42 คดี ใน 42 คดี เขายื่นศาลปกครอง เพื่อขอบรรเทาเกือบ 20 คดี อีก 10 กว่าคดีกำลังยื่นเช่นกัน ก็เหลือ 8คดีที่คดีสิ้นสุดและรื้อถอน ถือว่าจบสิ้นแล้ว เราต้องเอาศาลเป็นที่ตั้ง
+++ยึดแล้วทำอะไร
ผลสุดท้ายที่ยึด และทุบรีสอร์ต เราจะนำพื้นที่ไปปลูกป่า ค่อยๆเสริมเป็นหย่อมๆ เพราะที่เราจับไม่ติดต่อกัน จะเป็นลักษณะป่าที่เกิดจากการปลูกใหม่แทนที่รีสอร์ตที่รื้อถอนเป็นหย่อมในพื้นที่วังน้ำเขียว และในที่สุดก็กลืนเต็มพื้นที่ พื้นที่ไหนรื้อถอนออกจากพื้นที่ก่อนก็ปลูกก่อน เพราะพื้นที่ที่บุกรุกเป็นต้นน้ำลำธารทั้งนั้น ต้นน้ำลำพระเพลิงที่ผ่านมา ได้คุยกับกรมป่าไม้ แต่กรมป่าไม้อำนาจไม่เหมือนกรมอุทยาน ป่าไม้การรื้อถอนต้องให้นายอำเภอเซ็น ถ้าอำเภอไม่เซ็นก็ทำอะไรลำบาก ต้องเห็นชอบทางปกครอง กรมอุทยาน อธิบดี มีอำนาจรื้อถอนโดยตรง ตามมาตรา 22 ของพ.ร.บ.อุทยานให้อำนาจเต็มๆ
++++ วังน้ำเขียวจะทำเป็นอะไร
วังน้ำเขียวที่ยึดได้ จะทำเป็นป่าอย่างเดียว โดยจะให้เป็นป่าต้นน้ำลำพระเพลิง เดี๋ยวป่าก็ล้อมเอง ป่าจะบีบคนออกไปโดยอัตโนมัติ วังน้ำเขียวอากาศดี ทุกวันนี้วังน้ำเขียวมีรีสอร์ตที่ถูกต้องก็มี มีโฉนด กว่า 20,000 ไร่ ที่ ส.ป.ก.อีก 100,000-200,000 ไร่ ป่าสงวนอีกส่วนหนึ่ง ที่ถูกต้องก็มีไปพักได้ คนมีเงิน ควรไปซื้อที่ดินที่ถูกต้อง นักลงทุนซื้อต่อชาวบ้าน รายได้งามชาวบ้านก็ขาย พอขายเสร็จ ก็ไปบุกรุกแผ้วถางป่าต่อไม่จบไม่สิ้น
+++เปิดช่องทำเกษตรเชิงนิเวศ
ในวังน้ำเขียว มี 3 หน่วยงาน คือ กรมป่าไม้ ส.ป.ก. และ กรมอุทยาน ซึ่งพื้นที่ที่ยึดมา หน่วยงานอื่นไม่ทราบ แล้วแต่นโยบาย แต่ กรมอุทยานไม่มีกฎหมายเปิดโอกาส ให้นายทุนเข้ามาทำเชิงเกษตร ส.ป.ก.ทำได้ ป่าสงวนโซนซีทำได้ แต่อุทยานตายตัว นอกจากเพิกถอนเข้า คณะกรรมการอุทยานเป็นเรื่องใหญ่ ขนาดโครงการในพระราชดำริที่ถูกรุกล้ำ ยังใช้เวลานานกว่าจะเพิกถอนได้ พื้นที่วังน้ำเขียว ซึ่งเป็นเขตอุทยาน ประมาณ 11% ของ 73 ล้านไร่
+++จับรายใหญ่
ขณะนี้เป็นรายใหม่ที่บุกรุก เราได้เดินทางไปจับนายทุนรุกป่าที่เชียงใหม่ รายเดียวเกือบ 800 ไร่ เป็นคนดัง และมีผู้นำท้องถิ่นร่วมมือ เวลาเขาครอบครองเขาจะไม่ใช้ชื่อตนเอง แต่ไปซื้อถูกๆไร่ละ 5,000-6,000 บาทในเขตอุทยาน ตอนนี้กว้านซื้ออย่างเดียวมีหลักฐาน กำนันร่วมมือกัน ไม่ต้องหมายศาลใช้อำนาจอธิบดีได้เลย วิธีการ ที่ทำกัน ซื้อทิ้งๆไว้ ที่ดินราคาถูก ใครก็ชื้อ ชาวบ้านบอกปากเปล่า ชี้ไปเรื่อย ว่า มีเอกสารสิทธิไร่ละ 5,000-6,000 บาท ได้เงิน ผู้ใหญ่บ้าน อบต.ก็ร่วมมือกัน ออก ภ.บ.ท.5 ภาษียอดหญ้าในที่อุทยาน
+++กระเช้าภูกระดึง
กระเช้าภูกระดึงขณะนี้ผ่าน ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแล้ว เห็นชอบให้ก่อสร้างได้ วงเงิน 20 ล้านบาทใช้พื้นที่ 3 ไร่ ปัจจุบันได้ขออนุญาต ทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
หลายคนเป็นห่วงจะกระทบต่อต้นไม้ ผมยืนยันว่า แทบไม่เสียต้นไม้เลย เพราะเป็นกระเช้าลอยฟ้าเหมือนต่างประเทศ เหตุผลที่ อยากให้สร้างเพราะเห็นภาพลูกหาบลำบากโดยเฉพาะผู้หญิง ขณะเดียวกัน ทุกคนมีปัญหาข้อเข่าเสื่อม จาก 1,700 คน เหลือ 300 คน และมีปัญหาทะเลาะกันระหว่างลูกหาบกับนักท่องเที่ยวเรื่อง กระเป๋าที่ถึงไม่พร้อมกันหรือช้า ปัญหาขยะ น้ำ คน แต่หากทำกระเช้าคนสูงอายุก็เที่ยวได้ สามารถเดินทางไปกลับไม่ต้องพักค้างแรม ปัญหามลพิษก็หมดไป
"การสร้างกระเช้าทั่วโลกมีหมด สร้างโดยไม่ต้องใช้ตอหมด เป็นระบบเสาเจาะ คนแก่อยากขึ้นภูกระดึงก็ไปได้ ผมอยากให้ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ต่อไปลูกหาบให้ไปทำงานบริการด้านอื่น ตอนนี้รอแค่อีไอเอ ผ่าน"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,723 18-21 มีนาคม พ.ศ. 2555