แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2558 จะยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดหวังไว้ แต่ความต้องการซื้อจริง หรือเรียลดีมานด์ในภาคที่อยู่อาศัยก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
แม้จะไม่คึกคักฟู่ฟ่าเหมือนช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว และยังเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่ถ้าสามารถจับทางได้ถูกก็ยังมีสิทธิที่จะเพิ่มยอดขายได้ในช่วงที่ตลาดฝืดเคือง
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ทำการสำรวจความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจากผู้เข้าชมงาน "มหกรรมบ้านและคอนโด" มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้เข้าชมงานสามารถสะท้อนความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของตลาดระดับกลางได้เป็นอย่างดี
สำหรับการสำรวจครั้งล่าสุด ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 เมื่อกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ได้นำข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 8,200 ราย มาวิเคราะห์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า รายได้ของครอบครัวต่อเดือนของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้ 3-5 หมื่นบาท หรือคิดเป็น 25.3% รองลงมาคือ มีรายได้ 5-7 หมื่นบาท คิดเป็น 16% ถือว่าระดับรายได้ยังมีความใกล้เคียงกับงานในครั้งที่ผ่านมาในเดือน ต.ค. 2557
ขณะที่สถานะการอยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่าง พบว่ามีสถานะเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่ไม่มีภาระการผ่อน ในสัดส่วน 28.2% เป็นผู้อยู่อาศัย 29.6% และเป็นผู้เช่า 24.3% ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ
จากตัวเลขสถานะการอยู่อาศัยที่สำรวจโดยศูนย์ข้อมูล สามารถวิเคราะห์ต่อได้อีกว่า กลุ่มที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่ไม่มีภาระการผ่อน อาจจะต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง หรือต้องการหาซื้อบ้านให้ลูก ขณะที่อีก 2 กลุ่ม คือ เป็นผู้อยู่อาศัย และผู้เช่า ต้องการซื้อเพื่อแยกครอบครัว หรือต้องการมีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเอง
สำหรับความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว รองลงมาคือ คอนโดมิเนียม 31.7% และทาวน์เฮาส์ 18.5% โดยพบว่าความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมลดลง 4.3% เมื่อเทียบกับความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในงานครั้งที่แล้วที่มีสัดส่วน 36% ขณะที่ความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้น 2.5% เปรียบเทียบกับความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์ จากงานที่ผ่านมาที่มีสัดส่วน 16%
ทั้งนี้ การเพิ่มและลดของความต้องการซื้อบ้านแต่ละประเภทตามผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลฯ สามารถประเมินได้จากภาวะตลาดที่ผ่านมา เป็นเพราะราคาคอนโดมิเนียมเริ่มแพงขึ้น และมีโครงการเสนอขายในตลาดน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการชะลอโครงการใหม่ ขณะที่รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายได้เพิ่มทางเลือกในการอยู่อาศัยแนวราบของคนชั้นกลางมากขึ้น ทาวน์เฮาส์จึงเริ่มมีความต้องการมากขึ้น
ด้านงบประมาณในการซื้อบ้าน พบว่า 38.2% ต้องการซื้อบ้านราคา 1.1-2 ล้านบาท รองลงมาคือ ระดับราคา 2.1-3 ล้านบาท 26.5% และระดับราคา 3.1-4 ล้านบาท 15.2% ขณะที่ความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือน 1-2 หมื่นบาท 43.6% รองลงมา ผ่อนชำระได้ไม่เกิน 1 หมื่นบาท 30.1%
สำหรับทำเลที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า มีสัดส่วน 50.6% ลดลง 6.4% เปรียบเทียบกับงานครั้งที่ผ่านมา ที่มีสัดส่วน 57% รองลงมาคือ ใกล้ที่ทำงาน 31.1% เพิ่มขึ้น 7.2% เปรียบเทียบกับงานครั้งก่อนที่มีสัดส่วน 23.8 และใกล้ห้างสรรพสินค้า 8.9%
หากประเมินจากข้อมูลสำรวจของศูนย์ข้อมูลฯ ผนวกกับความเป็นไปของตลาด ณ เวลานี้ จะพบว่าเทรนด์การซื้อที่อยู่อาศัยเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เมื่อคอนโดแนวรถไฟฟ้าที่อยู่ในเมืองเริ่มมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การขยายเส้นทางของรถไฟฟ้าที่ออกนอกเมือง ทำให้คนชั้นกลางที่งบไม่พอซื้อคอนโดกลางเมือง เริ่มขยับขยายมาซื้อทาวน์เฮาส์ที่อยู่นอกเมืองมากยิ่งขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ทำการสำรวจความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจากผู้เข้าชมงาน "มหกรรมบ้านและคอนโด" มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้เข้าชมงานสามารถสะท้อนความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของตลาดระดับกลางได้เป็นอย่างดี
สำหรับการสำรวจครั้งล่าสุด ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 เมื่อกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ได้นำข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 8,200 ราย มาวิเคราะห์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า รายได้ของครอบครัวต่อเดือนของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้ 3-5 หมื่นบาท หรือคิดเป็น 25.3% รองลงมาคือ มีรายได้ 5-7 หมื่นบาท คิดเป็น 16% ถือว่าระดับรายได้ยังมีความใกล้เคียงกับงานในครั้งที่ผ่านมาในเดือน ต.ค. 2557
ขณะที่สถานะการอยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่าง พบว่ามีสถานะเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่ไม่มีภาระการผ่อน ในสัดส่วน 28.2% เป็นผู้อยู่อาศัย 29.6% และเป็นผู้เช่า 24.3% ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ
จากตัวเลขสถานะการอยู่อาศัยที่สำรวจโดยศูนย์ข้อมูล สามารถวิเคราะห์ต่อได้อีกว่า กลุ่มที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่ไม่มีภาระการผ่อน อาจจะต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง หรือต้องการหาซื้อบ้านให้ลูก ขณะที่อีก 2 กลุ่ม คือ เป็นผู้อยู่อาศัย และผู้เช่า ต้องการซื้อเพื่อแยกครอบครัว หรือต้องการมีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเอง
สำหรับความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว รองลงมาคือ คอนโดมิเนียม 31.7% และทาวน์เฮาส์ 18.5% โดยพบว่าความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมลดลง 4.3% เมื่อเทียบกับความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในงานครั้งที่แล้วที่มีสัดส่วน 36% ขณะที่ความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้น 2.5% เปรียบเทียบกับความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์ จากงานที่ผ่านมาที่มีสัดส่วน 16%
ทั้งนี้ การเพิ่มและลดของความต้องการซื้อบ้านแต่ละประเภทตามผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลฯ สามารถประเมินได้จากภาวะตลาดที่ผ่านมา เป็นเพราะราคาคอนโดมิเนียมเริ่มแพงขึ้น และมีโครงการเสนอขายในตลาดน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการชะลอโครงการใหม่ ขณะที่รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายได้เพิ่มทางเลือกในการอยู่อาศัยแนวราบของคนชั้นกลางมากขึ้น ทาวน์เฮาส์จึงเริ่มมีความต้องการมากขึ้น
ด้านงบประมาณในการซื้อบ้าน พบว่า 38.2% ต้องการซื้อบ้านราคา 1.1-2 ล้านบาท รองลงมาคือ ระดับราคา 2.1-3 ล้านบาท 26.5% และระดับราคา 3.1-4 ล้านบาท 15.2% ขณะที่ความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือน 1-2 หมื่นบาท 43.6% รองลงมา ผ่อนชำระได้ไม่เกิน 1 หมื่นบาท 30.1%
สำหรับทำเลที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้า มีสัดส่วน 50.6% ลดลง 6.4% เปรียบเทียบกับงานครั้งที่ผ่านมา ที่มีสัดส่วน 57% รองลงมาคือ ใกล้ที่ทำงาน 31.1% เพิ่มขึ้น 7.2% เปรียบเทียบกับงานครั้งก่อนที่มีสัดส่วน 23.8 และใกล้ห้างสรรพสินค้า 8.9%
หากประเมินจากข้อมูลสำรวจของศูนย์ข้อมูลฯ ผนวกกับความเป็นไปของตลาด ณ เวลานี้ จะพบว่าเทรนด์การซื้อที่อยู่อาศัยเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เมื่อคอนโดแนวรถไฟฟ้าที่อยู่ในเมืองเริ่มมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การขยายเส้นทางของรถไฟฟ้าที่ออกนอกเมือง ทำให้คนชั้นกลางที่งบไม่พอซื้อคอนโดกลางเมือง เริ่มขยับขยายมาซื้อทาวน์เฮาส์ที่อยู่นอกเมืองมากยิ่งขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์