นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยในงานสัมมนา "สร้างโอกาสลงทุน ขับเคลื่อนไทยสู่อนาคต" ในหัวข้อ "ดัชนีการลงทุนปี 57" ว่า อนาคตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมุ่งสู่หัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจจำนวนประชาชนรองจากกรุงเทพฯซึ่งแตกต่างจากอดีตที่บริษัทยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ จะเน้นการลงทุนในกรุงเทพฯ ที่เกาะตามแนวทางเส้นรถไฟฟ้า
"หัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดมีแนวโน้มที่สดใสเพราะประชาชนในพื้นที่รายได้มากขึ้น มีความเจริญจากการเป็นหัวเมืองใหญ่ที่มีเมืองบริเวณล้อมอยู่โดยรอบ เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น ดังนั้นการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์จึงจำเป็นต้องมุ่งไปสู่อนาคตที่มีคู่แข่งน้อยและการแข่งขันยังไม่รุนแรงซึ่แตกต่างจากพื้นที่ในกรุงเทพฯ ที่มีการแข่งขันสูง"
นายสัมมากล่าวว่า ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาราคาที่ดินในเขตใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ได้พุ่งขึ้นไปเป็นตารางวาละ 700,000-800,000 บาท และยังส่งผลถึงพื้นที่บริเวณรอบนอกกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วย ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยต้องปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาบ้านเดี่ยวไม่เกิน 3 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯไม่มีอีกแล้ว ขณะที่พื้นที่อาศัยของคอนโดมิเนียมก็มีขนาดที่เล็กลงไม่ถึง 30 ตารางเมตร ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทก็ไม่มีให้เห็นยกเว้นทำเลในจังหวัดปทุมธานีที่ยังเปิดตัวโครงการราคาห้องละ 900,000 บาท พื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตรทำให้คนในเมืองที่มีฐานะปานกลาง มีโอกาสซื้อบ้านได้ยากขึ้น
นายสัมมากล่าวว่า แม้จะไม่มีสถานการณ์การเมืองเกิดขึ้น โอกาสที่ยอดขายบ้านในเขตพื้นที่กรุงเทพฯลดลงก็มีอยู่แล้ว เพราะราคาที่ดินแพงมากจนไม่สามารถก่อสร้างที่อยู่อาศัยในราคาตลาดคือ ไม่เกิน 3 ล้านบาทได้ ยกเว้นโครงการหรูราคาแพงที่เน้นกลุ่มเป้าหมายคนรวยและคนต่างชาติแต่เมื่อมีสถานการณ์การเมืองเกิดขึ้นยิ่งทำให้ปริมาณบ้านที่ล้นตลาดกับความต้องการบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ เกิดการปรับความสมดุล โดยคอนโดมิเนียมที่เหลือขาย เมื่อปี56 ก็มีโอกาสขายได้ เพราะโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในปีนี้ ลดน้อยลง
"ในช่วง 4 เดือนแรกปี 56 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 66 โครงการ หรือ 29,970 ยูนิต ขณะที่ 4 เดือนแรกของปีนี้ มีคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ 43 โครงการ หรือ 17,960 ยูนิต แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการเองก็ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อที่จะเร่งระบายบ้านที่ยังขายไม่หมดในสต๊อกออกไป"
สำหรับจังหวัดที่ลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ประกอบด้วยพื้นที่ใกล้กรุงเทพฯ คือปทุมธานี และสมุทรปราการ จังหวัดหลักในภูมิภาคคือ เชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา ขอนแก่น ระยอง เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สงขลา (หาดใหญ่) จังหวัดรองในภูมิภาค คือ พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี เชียงราย พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ส่วนจังหวัดชลบุรี และนนทบุรีปัจจุบันมีสภาพที่อาศัยเป็นหัวเมืองเอกเหมือนกับกรุงเทพฯ
นายสัมมากล่าวว่า โอกาสที่ประเทศไทยจะเกิดภาวะฟองสบู่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกับปี 40 คงไม่เกิดขึ้น เพราะในช่วงนั้นมีการเก็งกำไรในที่ดินและปริมาณบ้านก็ล้นตลาดถึง 177,000 ยูนิต แต่ในปัจจุบันกรุงเทพฯมีรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงจึงไม่ใช่เรื่องของภาวะฟองสบู่แต่อย่างใด
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
นายสัมมากล่าวว่า ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาราคาที่ดินในเขตใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ได้พุ่งขึ้นไปเป็นตารางวาละ 700,000-800,000 บาท และยังส่งผลถึงพื้นที่บริเวณรอบนอกกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วย ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยต้องปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาบ้านเดี่ยวไม่เกิน 3 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯไม่มีอีกแล้ว ขณะที่พื้นที่อาศัยของคอนโดมิเนียมก็มีขนาดที่เล็กลงไม่ถึง 30 ตารางเมตร ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทก็ไม่มีให้เห็นยกเว้นทำเลในจังหวัดปทุมธานีที่ยังเปิดตัวโครงการราคาห้องละ 900,000 บาท พื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตรทำให้คนในเมืองที่มีฐานะปานกลาง มีโอกาสซื้อบ้านได้ยากขึ้น
นายสัมมากล่าวว่า แม้จะไม่มีสถานการณ์การเมืองเกิดขึ้น โอกาสที่ยอดขายบ้านในเขตพื้นที่กรุงเทพฯลดลงก็มีอยู่แล้ว เพราะราคาที่ดินแพงมากจนไม่สามารถก่อสร้างที่อยู่อาศัยในราคาตลาดคือ ไม่เกิน 3 ล้านบาทได้ ยกเว้นโครงการหรูราคาแพงที่เน้นกลุ่มเป้าหมายคนรวยและคนต่างชาติแต่เมื่อมีสถานการณ์การเมืองเกิดขึ้นยิ่งทำให้ปริมาณบ้านที่ล้นตลาดกับความต้องการบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ เกิดการปรับความสมดุล โดยคอนโดมิเนียมที่เหลือขาย เมื่อปี56 ก็มีโอกาสขายได้ เพราะโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในปีนี้ ลดน้อยลง
"ในช่วง 4 เดือนแรกปี 56 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 66 โครงการ หรือ 29,970 ยูนิต ขณะที่ 4 เดือนแรกของปีนี้ มีคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ 43 โครงการ หรือ 17,960 ยูนิต แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการเองก็ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อที่จะเร่งระบายบ้านที่ยังขายไม่หมดในสต๊อกออกไป"
สำหรับจังหวัดที่ลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ประกอบด้วยพื้นที่ใกล้กรุงเทพฯ คือปทุมธานี และสมุทรปราการ จังหวัดหลักในภูมิภาคคือ เชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา ขอนแก่น ระยอง เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สงขลา (หาดใหญ่) จังหวัดรองในภูมิภาค คือ พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี เชียงราย พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ส่วนจังหวัดชลบุรี และนนทบุรีปัจจุบันมีสภาพที่อาศัยเป็นหัวเมืองเอกเหมือนกับกรุงเทพฯ
นายสัมมากล่าวว่า โอกาสที่ประเทศไทยจะเกิดภาวะฟองสบู่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกับปี 40 คงไม่เกิดขึ้น เพราะในช่วงนั้นมีการเก็งกำไรในที่ดินและปริมาณบ้านก็ล้นตลาดถึง 177,000 ยูนิต แต่ในปัจจุบันกรุงเทพฯมีรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินทำให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงจึงไม่ใช่เรื่องของภาวะฟองสบู่แต่อย่างใด
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ