แอล.พี.เอ็น. ชี้มาตรการรถคันแรกหนุนตลาดคอนโดนอกเมือง เตรียมเปิด 13 โครงการใหม่ 2 หมื่นล้าน
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า ในปีนี้คอนโดมิเนียมจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องยิ่งการจราจรใน กทม. ติดขัดมากขึ้นจากนโยบายรถคันแรก ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้คอนโดมิเนียมเติบโตมากขึ้น
ในขณะเดียวกันคนทำงานที่ซื้อรถคันแรกแล้วจะมีกำลังซื้อลดลงเพราะรายได้ส่วนหนึ่งต้องใช้ในการผ่อนรถ ทำให้จากที่เคยซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองได้ ก็ต้องเปลี่ยนมาซื้อคอนโดมิเนียมที่ขยับออกจากในเมืองที่มีราคาถูกกว่าแทน โอกาสของบริษัทที่พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่างจึงมีมากขึ้น
"คนที่มีรถคันแรกจะขยับออกมาซื้อคอนโดมิเนียมที่ราคาถูกลงแต่ยังคงอยู่ใกล้ๆ เขตเมือง และคิดว่าคงจะไม่ซื้อบ้านในทำเลชานเมืองที่ไกลออกไปมาก เพราะจะเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากขึ้น และเสียเวลาจากปัญหารถติด จึงถือว่าเป็นโอกาสของ แอล.พี.เอ็น.ที่พัฒนาโครงการระดับกลาง-ล่างที่ไม่ไกลจากเมืองอยู่แล้ว" นายโอภาสกล่าว
สำหรับในปีนี้บริษัทจะเปิดโครงการใหม่รวม 13 โครงการ ทั้งใน กทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัดรวมมูลค่า 2 หมื่นล้านบาทซึ่งโครงการใน กทม.จะยังเน้นทำเลที่เป็นชุมชนหนาแน่นไม่ไกลจากเมืองเช่น สุขสวัสดิ์ ลาดกระบัง-อ่อนนุชศรีนครินทร์-พัฒนาการ เป็นต้นส่วนในต่างจังหวัดจะมีโครงการที่หัวหิน ชะอำ เป็นต้น
ด้านผลประกอบการในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 1.8 หมื่นล้านบาทสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1.6 หมื่นล้านบาทและมีรายได้ประมาณ 1.25 หมื่นล้านบาทต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.3 หมื่นล้านบาท เพราะโอนได้ไม่ทันกำหนด แต่ในไตรมาสสุดท้ายบริษัทมีรายได้จากยอดโอนรวม 6,500 ล้านบาทสูงกว่า 9 เดือนแรกที่ทำได้ 5,800 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบริษัท
นายโอภาส กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกทม.และปริมณฑลรวม 6 หมื่นหน่วย ส่วนในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 6-7 หมื่นหน่วยแต่จะมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนปัญหาสำคัญที่จะเกิดในปีนี้การขาดแคลนแรงงานจนทำให้งานล่าช้ากว่ากำหนด
"ผู้ประกอบการรายใหม่จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไม่มีผู้รับเหมาในมือ ต่อไปตลาดคอนโดมิเนียมจะตกเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สามารถเจรจากับผู้รับเหมารายใหญ่ได้" นายโอภาส กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ในขณะเดียวกันคนทำงานที่ซื้อรถคันแรกแล้วจะมีกำลังซื้อลดลงเพราะรายได้ส่วนหนึ่งต้องใช้ในการผ่อนรถ ทำให้จากที่เคยซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองได้ ก็ต้องเปลี่ยนมาซื้อคอนโดมิเนียมที่ขยับออกจากในเมืองที่มีราคาถูกกว่าแทน โอกาสของบริษัทที่พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่างจึงมีมากขึ้น
"คนที่มีรถคันแรกจะขยับออกมาซื้อคอนโดมิเนียมที่ราคาถูกลงแต่ยังคงอยู่ใกล้ๆ เขตเมือง และคิดว่าคงจะไม่ซื้อบ้านในทำเลชานเมืองที่ไกลออกไปมาก เพราะจะเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากขึ้น และเสียเวลาจากปัญหารถติด จึงถือว่าเป็นโอกาสของ แอล.พี.เอ็น.ที่พัฒนาโครงการระดับกลาง-ล่างที่ไม่ไกลจากเมืองอยู่แล้ว" นายโอภาสกล่าว
สำหรับในปีนี้บริษัทจะเปิดโครงการใหม่รวม 13 โครงการ ทั้งใน กทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัดรวมมูลค่า 2 หมื่นล้านบาทซึ่งโครงการใน กทม.จะยังเน้นทำเลที่เป็นชุมชนหนาแน่นไม่ไกลจากเมืองเช่น สุขสวัสดิ์ ลาดกระบัง-อ่อนนุชศรีนครินทร์-พัฒนาการ เป็นต้นส่วนในต่างจังหวัดจะมีโครงการที่หัวหิน ชะอำ เป็นต้น
ด้านผลประกอบการในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 1.8 หมื่นล้านบาทสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1.6 หมื่นล้านบาทและมีรายได้ประมาณ 1.25 หมื่นล้านบาทต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.3 หมื่นล้านบาท เพราะโอนได้ไม่ทันกำหนด แต่ในไตรมาสสุดท้ายบริษัทมีรายได้จากยอดโอนรวม 6,500 ล้านบาทสูงกว่า 9 เดือนแรกที่ทำได้ 5,800 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบริษัท
นายโอภาส กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกทม.และปริมณฑลรวม 6 หมื่นหน่วย ส่วนในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 6-7 หมื่นหน่วยแต่จะมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนปัญหาสำคัญที่จะเกิดในปีนี้การขาดแคลนแรงงานจนทำให้งานล่าช้ากว่ากำหนด
"ผู้ประกอบการรายใหม่จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไม่มีผู้รับเหมาในมือ ต่อไปตลาดคอนโดมิเนียมจะตกเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สามารถเจรจากับผู้รับเหมารายใหญ่ได้" นายโอภาส กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์