แบงก์ชาติเตือนแบงก์บริหารความเสี่ยง 3 ด่าน "สินเชื่อ-สภาพคล่องเงินกองทุน" ย้ำเศรษฐกิจไม่แน่นอนหลังน้ำท่วมโรงงานบางแห่งยังไม่ฟื้นตัว หนี้ภาคครัวเรือนค้างชำระเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหนี้จัดชั้นของสินเชื่อรถพุ่ง7.7%
นางสาวนวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงินสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ฐานะธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งระบบอยู่ในเกณฑ์ที่มีเสถียรภาพ โดยเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 15.1% จากปีที่แล้วที่อยู่ 16.2%แต่อยู่ระดับที่สูงพอที่จะรับความต้องการสินเชื่อที่จะมากขึ้นจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม
แต่ระยะต่อไปธนาคารยังต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต สภาพคล่องและความแข็งแกร่งของเงินกองทุน โดยเฉพาะต้องระวังความเสี่ยงด้านเครดิต เพราะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างประเทศ หากเกิดภาวะชะลอตัวลูกค้ากลุ่มส่งออกอาจได้รับผลกระทบขณะเดียวกันยังต้องติดตามผลต่อเนื่องจากน้ำท่วมที่ยังไม่จบ เพราะโรงงานบางแห่งยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ ส่วนความแข็งแกร่งของเงินกองทุนนอกจากรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจแล้ว จะต้องรองรับความต้องการสินเชื่อฟื้นฟูที่จะเพิ่มขึ้นด้วยขณะที่ด้านสภาพคล่องจะต้องมีการบริหารจัดการ เพราะจะมีการลดคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทในเดือน ส.ค.นี้
นางสาวนวพรกล่าวว่า การขยายสินเชื่อที่รวดเร็วในปีที่แล้ว 14.9% และการเข้ามาดึงเงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจส่งผลให้สภาพคล่องในระบบธนาคารตึงตัวเล็กน้อย โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมตั๋วบี/อี ขยับขึ้นมาเป็น 89.9%
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2554 เงินฝากของธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจรวมกันอยู่ที่ 12.5 ล้านล้านบาทแบ่งเป็นเงินฝากของธนาคารพาณิชย์9.4 ล้านล้านบาท ธนาคารเฉพาะกิจ3 ล้านล้านบาท
"สภาพคล่องตึงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เงินตึงตัว จริง ๆ การแข่งขันเงินฝากไม่ได้มีเฉพาะกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจระหว่างแบงก์ด้วยกันก็แข่ง ซึ่งมีกลยุทธ์ในการออกโปรดักต์จูงใจอยู่แล้ว"นางสาวนวพรกล่าว
สำหรับผลดำเนินงานปี'54 ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีกำไรรวม1.44 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี'53 ที่กำไร 1.23 แสนล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากรายได้ดอกเบี้ยตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัว ขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังดีอยู่ตามภาวะเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี'54 ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อุทกภัยในไตรมาสสุดท้าย
โดยสินเชื่อที่ขยายตัว 14.9% มาจากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่14.8% สินเชื่อเอสเอ็มอี 14.4% และสินเชื่อเพื่อการบริโภค 15.4% ส่วนปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ลดลงมาอยู่ที่2.65 แสนล้านบาท หรือ 2.7% ของสินเชื่อรวม เป็นผลจากการรับชำระหนี้คืน และการขาย NPL ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์
"ในปี 2554 มีสินเชื่อไหลเข้าทั้งสิ้น1.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็น NPL ใหม่ 8 หมื่นล้านบาท ส่วนNPL ที่ไหลออกหรือที่ลดลงมีทั้งสิ้น 2.1 แสนล้านบาท"
นางสาวนวพรกล่าวว่า แม้ปี'54 ยอดหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษโดยรวมจะลดลงมาเหลือ 2.3% จากปีก่อนหน้าที่อยู่2.6% ซึ่งลดลงจากหนี้จัดชั้นฯของสินเชื่อธุรกิจที่เหลือ 1.9% จาก 2.7% ในปีก่อนหน้า แต่หนี้จัดขั้นฯของสินเชื่อเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 3.3% จาก 2.6% ในปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มของหนี้ภาคครัวเรือนในไตรมาส 4/54 จากเหตุการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ที่มีหนี้จัดชั้นเพิ่มเป็น 7.7% ของสินเชื่อรวม เทียบกับ 5.9% ในปีก่อนหน้าสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มเป็น 2.5% จาก1.9% สินเชื่อบุคคล 1.9% จาก 1.7%และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มเป็น 1.6% จาก1.4% ในปีก่อนหน้า
โดย ธปท.ยังต้องติดตามคุณภาพของสินเชื่อต่อไป โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งขณะนี้เชื่อว่าธนาคารมีเงินกองทุนและการตั้งสำรองหนี้ในระดับสูงถึง 6.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งพร้อมรับความผันผวนได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 13 - 15 ก.พ. 2555
นางสาวนวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงินสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ฐานะธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งระบบอยู่ในเกณฑ์ที่มีเสถียรภาพ โดยเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 15.1% จากปีที่แล้วที่อยู่ 16.2%แต่อยู่ระดับที่สูงพอที่จะรับความต้องการสินเชื่อที่จะมากขึ้นจากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม
แต่ระยะต่อไปธนาคารยังต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต สภาพคล่องและความแข็งแกร่งของเงินกองทุน โดยเฉพาะต้องระวังความเสี่ยงด้านเครดิต เพราะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างประเทศ หากเกิดภาวะชะลอตัวลูกค้ากลุ่มส่งออกอาจได้รับผลกระทบขณะเดียวกันยังต้องติดตามผลต่อเนื่องจากน้ำท่วมที่ยังไม่จบ เพราะโรงงานบางแห่งยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ ส่วนความแข็งแกร่งของเงินกองทุนนอกจากรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจแล้ว จะต้องรองรับความต้องการสินเชื่อฟื้นฟูที่จะเพิ่มขึ้นด้วยขณะที่ด้านสภาพคล่องจะต้องมีการบริหารจัดการ เพราะจะมีการลดคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทในเดือน ส.ค.นี้
นางสาวนวพรกล่าวว่า การขยายสินเชื่อที่รวดเร็วในปีที่แล้ว 14.9% และการเข้ามาดึงเงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจส่งผลให้สภาพคล่องในระบบธนาคารตึงตัวเล็กน้อย โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมตั๋วบี/อี ขยับขึ้นมาเป็น 89.9%
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2554 เงินฝากของธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจรวมกันอยู่ที่ 12.5 ล้านล้านบาทแบ่งเป็นเงินฝากของธนาคารพาณิชย์9.4 ล้านล้านบาท ธนาคารเฉพาะกิจ3 ล้านล้านบาท
"สภาพคล่องตึงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เงินตึงตัว จริง ๆ การแข่งขันเงินฝากไม่ได้มีเฉพาะกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจระหว่างแบงก์ด้วยกันก็แข่ง ซึ่งมีกลยุทธ์ในการออกโปรดักต์จูงใจอยู่แล้ว"นางสาวนวพรกล่าว
สำหรับผลดำเนินงานปี'54 ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีกำไรรวม1.44 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี'53 ที่กำไร 1.23 แสนล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากรายได้ดอกเบี้ยตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัว ขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังดีอยู่ตามภาวะเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี'54 ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์อุทกภัยในไตรมาสสุดท้าย
โดยสินเชื่อที่ขยายตัว 14.9% มาจากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่14.8% สินเชื่อเอสเอ็มอี 14.4% และสินเชื่อเพื่อการบริโภค 15.4% ส่วนปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ลดลงมาอยู่ที่2.65 แสนล้านบาท หรือ 2.7% ของสินเชื่อรวม เป็นผลจากการรับชำระหนี้คืน และการขาย NPL ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์
"ในปี 2554 มีสินเชื่อไหลเข้าทั้งสิ้น1.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็น NPL ใหม่ 8 หมื่นล้านบาท ส่วนNPL ที่ไหลออกหรือที่ลดลงมีทั้งสิ้น 2.1 แสนล้านบาท"
นางสาวนวพรกล่าวว่า แม้ปี'54 ยอดหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษโดยรวมจะลดลงมาเหลือ 2.3% จากปีก่อนหน้าที่อยู่2.6% ซึ่งลดลงจากหนี้จัดชั้นฯของสินเชื่อธุรกิจที่เหลือ 1.9% จาก 2.7% ในปีก่อนหน้า แต่หนี้จัดขั้นฯของสินเชื่อเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 3.3% จาก 2.6% ในปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มของหนี้ภาคครัวเรือนในไตรมาส 4/54 จากเหตุการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ที่มีหนี้จัดชั้นเพิ่มเป็น 7.7% ของสินเชื่อรวม เทียบกับ 5.9% ในปีก่อนหน้าสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มเป็น 2.5% จาก1.9% สินเชื่อบุคคล 1.9% จาก 1.7%และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มเป็น 1.6% จาก1.4% ในปีก่อนหน้า
โดย ธปท.ยังต้องติดตามคุณภาพของสินเชื่อต่อไป โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งขณะนี้เชื่อว่าธนาคารมีเงินกองทุนและการตั้งสำรองหนี้ในระดับสูงถึง 6.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งพร้อมรับความผันผวนได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 13 - 15 ก.พ. 2555