หลังน้ำลด บรรดาประชาชนผู้เดือดร้อนเริ่มมองหาทางออกในการซ่อมแซม ฟื้นฟู ที่อยู่อาศัย ร้านค้า เพื่อกลับมาดั่งเดิม ระยะที่ผ่านมา สถาบันการเงินของรัฐประกาศมาตรการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แม้กำรี้กำไรจะลดลง เพื่อให้วิถีของคนกลับมาสู่ภาวะปกติ
ล่าสุด วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) บอกว่า ขณะนี้มีลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเข้ามาติดต่อเพื่อขอเข้าโครงการบรรเทาผลกระทบกับธนาคารแล้วกว่า 3.3 หมื่นรายหลังจากที่ธนาคารได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นเวลา 21 วัน ส่งผลให้ธนาคารสามารถอนุมัติให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบเข้าโครงการได้แล้วกว่า 2.2 หมื่นราย เฉลี่ยอนุมัติได้วันละ1,000 ราย
ส่วนใหญ่ต้องใช้มาตรการหยุดคิดเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลานาน 6 เดือน ผลจากมาตรการนี้ทำให้รายได้หรือกำไรจากดอกเบี้ยของธนาคารลดลงไปประมาณเดือนละ 100 ล้านบาท
วรวิทย์ ประเมินว่า ผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้มีลูกค้าได้รับผลกระทบจากทั่วประเทศกว่า 8หมื่นราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท
"ผมคาดว่าน่าจะมีลูกค้าที่ตัดสินใจเข้ามาตรการบรรเทาผลกระทบ 5 หมื่นราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนคนที่เหลืออีก 3 หมื่นราย คาดว่าได้รับผลกระทบแต่ยังสามารถผ่อนชำระค่างวดได้" วรวิทย์ กล่าว
นอกจากพักหนี้แล้ว ธอส.ยังได้เตรียมวงเงินสินเชื่อเพื่อปล่อยกู้ไปซ่อมแซมที่พักอาศัยอีก 1 หมื่นล้านบาท เป็นการประมาณการจากผู้ประสบภัยที่บ้านเสียหายน่าจะต้องการเงินประมาณ 20%ของราคาบ้านเพื่อนำไปซ่อมแซมซึ่งล่าสุดยอดสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบมี 3 หมื่นล้านบาท คาดว่ายอดเงินที่ต้องการนำไปซ่อมแซมบ้านน่าจะไม่เกิน 6,000 ล้านบาท
"ผมว่าคุ้ม ธนาคารยอมให้กำไรลดไปเดือนละ 100 ล้านบาทเพื่อช่วยลูกค้าก่อนดีกว่าปล่อยให้คนเหล่านี้เป็นหนี้เสีย เพราะสุดท้ายธนาคารต้องมาตั้งสำรองหนี้เสียอยู่ดี ที่สำคัญการเดินหน้ามาตรการบรรเทาผลกระทบเชิงรุกทำให้ขณะนี้มีคนผ่านการอนุมัติไปแล้วกว่า 2.2 หมื่นราย ที่สำคัญจะช่วยให้คนที่เดือดร้อนเหล่านี้ยังสามารถกู้เงินเพื่อไปซ่อมแซมบ้านที่เสียหายได้" วรวิทย์ กล่าว
วรวิทย์ กล่าวอีกว่า ไม่เพียงแต่กำไรลด แต่ผลจากน้ำท่วมทำให้ยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ในช่วง 2เดือนที่ผ่านมาลดลงถึง 50% จากที่เคยปล่อยกู้ได้เดือนละ 1 หมื่นล้านบาท ลดลงเหลือ 5,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 9.9 หมื่นล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี และยังสามารถทำกำไรตามเป้าหมาย6,700 ล้านบาท เพราะเชื่อว่าสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อจะเข้าสู่ภาวะปกติได้ในกลางปี2555
ฟากธนาคารออมสินที่เป็นหัวเรือหลักในการดูแลลูกค้ารายย่อยก็เดินหน้าช่วยเต็มที่ เลอศักดิ์ จุลเทศผู้อำนวยการธนาคารออมสิน บอกว่า ธนาคารได้พิจารณาเพิ่มมาตรการช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยธนาคารจะไม่คิดดอกเบี้ยและไม่ต้องชำระเงินต้น หรืองดคิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 6 เดือน ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีลูกค้าที่เข้าข่ายได้รับผลกระทบกว่า 2 แสนราย ส่งผลให้ธนาคารสูญเสียรายได้ 700-800 ล้านบาท
ล่าสุดนี้ มีผู้ยื่นขอเข้ามาตรการแล้วกว่า 2.22 หมื่นราย วงเงินรวม9,587 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้น
"หลังจากครบเวลาแล้ว ลูกค้าจะชำระเงินงวดในอัตราเท่าเดิมหรือจะขอปรับลดเงินงวด พร้อมกับขยายระยะเวลาในการชำระหนี้ได้อีกไม่เกิน 1-2 ปี ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ลูกค้าได้ในยามวิกฤต"เลอศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารยังให้บริการสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนช่วยภัยน้ำท่วม เป็นเงินกู้ตามความจำเป็นฉุกเฉินตามสภาพที่ได้รับผลกระทบ ในวงเงินรายละไม่เกิน 3 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มอาร์อาร์ ซึ่งอยู่ที่8% ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 2 ปี ชำระเป็นรายเดือน อนุมัติใน 5 วัน
ขณะที่ลูกค้าเดิมสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนและประชาชนทั่วไป สามารถยื่นกู้เพื่อนำไปใช้จ่ายลงทุนใหม่ได้ไม่เกินรายละ 5 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์บวก 1%
ส่วนลูกค้าสินเชื่อเคหะเดิมสามารถกู้เพิ่มเติมเพื่อซ่อมแซมได้ไม่เกิน 10% ของเงินกู้ตามสัญญาเดิม แต่ไม่เกิน 3 แสนบาท
ประชาชนทั่วไปสามารถกู้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยได้ไม่เกินรายละ 3 แสนบาท ผ่อนชำระภายใน 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยปีที่1-3 แค่ 3.45% ปีที่ 4-5 คิดดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ลบ 0.5%โดยธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมให้ด้วย
ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจและเอสเอ็มอี ธนาคารออมสินยังได้ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ออกไปจากสัญญาเดิมไม่เกิน 1 ปี และสามารถขอกู้เพิ่มเป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ไม่เกินรายละ 5 แสนบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ลบ 1.5% ชำระเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ล่าสุด วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) บอกว่า ขณะนี้มีลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเข้ามาติดต่อเพื่อขอเข้าโครงการบรรเทาผลกระทบกับธนาคารแล้วกว่า 3.3 หมื่นรายหลังจากที่ธนาคารได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นเวลา 21 วัน ส่งผลให้ธนาคารสามารถอนุมัติให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบเข้าโครงการได้แล้วกว่า 2.2 หมื่นราย เฉลี่ยอนุมัติได้วันละ1,000 ราย
ส่วนใหญ่ต้องใช้มาตรการหยุดคิดเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลานาน 6 เดือน ผลจากมาตรการนี้ทำให้รายได้หรือกำไรจากดอกเบี้ยของธนาคารลดลงไปประมาณเดือนละ 100 ล้านบาท
วรวิทย์ ประเมินว่า ผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้มีลูกค้าได้รับผลกระทบจากทั่วประเทศกว่า 8หมื่นราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท
"ผมคาดว่าน่าจะมีลูกค้าที่ตัดสินใจเข้ามาตรการบรรเทาผลกระทบ 5 หมื่นราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนคนที่เหลืออีก 3 หมื่นราย คาดว่าได้รับผลกระทบแต่ยังสามารถผ่อนชำระค่างวดได้" วรวิทย์ กล่าว
นอกจากพักหนี้แล้ว ธอส.ยังได้เตรียมวงเงินสินเชื่อเพื่อปล่อยกู้ไปซ่อมแซมที่พักอาศัยอีก 1 หมื่นล้านบาท เป็นการประมาณการจากผู้ประสบภัยที่บ้านเสียหายน่าจะต้องการเงินประมาณ 20%ของราคาบ้านเพื่อนำไปซ่อมแซมซึ่งล่าสุดยอดสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบมี 3 หมื่นล้านบาท คาดว่ายอดเงินที่ต้องการนำไปซ่อมแซมบ้านน่าจะไม่เกิน 6,000 ล้านบาท
"ผมว่าคุ้ม ธนาคารยอมให้กำไรลดไปเดือนละ 100 ล้านบาทเพื่อช่วยลูกค้าก่อนดีกว่าปล่อยให้คนเหล่านี้เป็นหนี้เสีย เพราะสุดท้ายธนาคารต้องมาตั้งสำรองหนี้เสียอยู่ดี ที่สำคัญการเดินหน้ามาตรการบรรเทาผลกระทบเชิงรุกทำให้ขณะนี้มีคนผ่านการอนุมัติไปแล้วกว่า 2.2 หมื่นราย ที่สำคัญจะช่วยให้คนที่เดือดร้อนเหล่านี้ยังสามารถกู้เงินเพื่อไปซ่อมแซมบ้านที่เสียหายได้" วรวิทย์ กล่าว
วรวิทย์ กล่าวอีกว่า ไม่เพียงแต่กำไรลด แต่ผลจากน้ำท่วมทำให้ยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ในช่วง 2เดือนที่ผ่านมาลดลงถึง 50% จากที่เคยปล่อยกู้ได้เดือนละ 1 หมื่นล้านบาท ลดลงเหลือ 5,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 9.9 หมื่นล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี และยังสามารถทำกำไรตามเป้าหมาย6,700 ล้านบาท เพราะเชื่อว่าสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อจะเข้าสู่ภาวะปกติได้ในกลางปี2555
ฟากธนาคารออมสินที่เป็นหัวเรือหลักในการดูแลลูกค้ารายย่อยก็เดินหน้าช่วยเต็มที่ เลอศักดิ์ จุลเทศผู้อำนวยการธนาคารออมสิน บอกว่า ธนาคารได้พิจารณาเพิ่มมาตรการช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยธนาคารจะไม่คิดดอกเบี้ยและไม่ต้องชำระเงินต้น หรืองดคิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 6 เดือน ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีลูกค้าที่เข้าข่ายได้รับผลกระทบกว่า 2 แสนราย ส่งผลให้ธนาคารสูญเสียรายได้ 700-800 ล้านบาท
ล่าสุดนี้ มีผู้ยื่นขอเข้ามาตรการแล้วกว่า 2.22 หมื่นราย วงเงินรวม9,587 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้น
"หลังจากครบเวลาแล้ว ลูกค้าจะชำระเงินงวดในอัตราเท่าเดิมหรือจะขอปรับลดเงินงวด พร้อมกับขยายระยะเวลาในการชำระหนี้ได้อีกไม่เกิน 1-2 ปี ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ลูกค้าได้ในยามวิกฤต"เลอศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารยังให้บริการสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนช่วยภัยน้ำท่วม เป็นเงินกู้ตามความจำเป็นฉุกเฉินตามสภาพที่ได้รับผลกระทบ ในวงเงินรายละไม่เกิน 3 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มอาร์อาร์ ซึ่งอยู่ที่8% ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 2 ปี ชำระเป็นรายเดือน อนุมัติใน 5 วัน
ขณะที่ลูกค้าเดิมสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนและประชาชนทั่วไป สามารถยื่นกู้เพื่อนำไปใช้จ่ายลงทุนใหม่ได้ไม่เกินรายละ 5 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์บวก 1%
ส่วนลูกค้าสินเชื่อเคหะเดิมสามารถกู้เพิ่มเติมเพื่อซ่อมแซมได้ไม่เกิน 10% ของเงินกู้ตามสัญญาเดิม แต่ไม่เกิน 3 แสนบาท
ประชาชนทั่วไปสามารถกู้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยได้ไม่เกินรายละ 3 แสนบาท ผ่อนชำระภายใน 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยปีที่1-3 แค่ 3.45% ปีที่ 4-5 คิดดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ลบ 0.5%โดยธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมให้ด้วย
ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจและเอสเอ็มอี ธนาคารออมสินยังได้ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ออกไปจากสัญญาเดิมไม่เกิน 1 ปี และสามารถขอกู้เพิ่มเป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ไม่เกินรายละ 5 แสนบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ลบ 1.5% ชำระเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์