กลุ่มดีเวลอปเปอร์ หันพึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมก่อสร้าง แก้เกมค่าแรงพุ่งแรงงานขาด ส่งมอบงานล่าช้า อีกนัยหวังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ดันยอดขายทะลุเป้า เอสซีจีระบุผลตอบรับดีเกินคาด
จากสภาพปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ส่งผลให้กลุ่มดีเวลอปเปอร์ หันมาใช้เทคโนโลยีและระบบการก่อสร้างด้วยวัสดุก่อสร้างสำเร็จรูปกันมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว
จากสภาพปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ส่งผลให้กลุ่มดีเวลอปเปอร์ หันมาใช้เทคโนโลยีและระบบการก่อสร้างด้วยวัสดุก่อสร้างสำเร็จรูปกันมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว
++สัมมากร/รอแยลเฮ้าส์ ใช้เทคโนโลยีช่วย
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทได้มีการปรับใช้ระบบ เสา คาน และพื้นสำเร็จรูป จากโรงงานมาติดตั้งที่หน้างานแทนการก่อสร้างด้วยแรงงานคนทั้งระบบ ในส่วนของโครงการบ้านเดี่ยวอควา ดิวิน่า บาย สัมมากร รามคำแหง 94 ระดับราคา 5-20 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่ใช้ระบบการก่อสร้างสำเร็จรูป เพื่อช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้าง
"การก่อสร้างด้วยระบบดังกล่าวช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น บ้านเดี่ยวหนึ่งหลัง หากใช้การก่อสร้างแบบเดิมต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนถึงจะแล้วเสร็จ แต่เมื่อใช้การก่อสร้างแบบสำเร็จรูป เราสามารถควบคุมงานให้แล้วเสร็จภายใน 5 เดือน แม้ว่าต้นทุนการก่อสร้างจะไม่ได้ลดลงมาก แต่ก็ช่วยในเรื่องของการส่งมอบงานให้กับลูกค้าทันเวลา ซึ่งในอนาคตสัมมากรอาจนำระบบนี้ไปใช้กับโครงการอื่นในอนาคต หากปัญหาแรงงานยังรุนแรงเหมือนดังเช่นปัจจุบัน" นายกิตติพล กล่าว
สอดรับกับนายศักดา โควิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า การขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ขณะนี้ถือว่าเป็นปัญหาหนัก แต่ยังไม่ถึงทางตัน สำหรับบริษัทยังไม่มีนโยบายนำระบบกึ่งสำเร็จรูปมาใช้ แต่ปรับกระบวนการก่อสร้างใหม่ ลดระยะเวลา เช่น สร้างโรงงานขนาดย่อมขึ้นเอง เพื่อตัดเหล็กและส่งไปหน้างาน, ใช้เครื่องพ่น-ฉาบปูน, ใช้พื้นไม้ลามิเนตแทนไม้ปาร์เกต์, ใช้โครงหลังคาสำเร็จรูป ฯลฯ ในภาพรวมหากเป็นบริษัทที่ปลูกสร้างบ้านระดับราคา 2-5 ล้านบาท อาจจะเริ่มทยอยเปลี่ยนมาใช้เสา-คานสำเร็จรูปมากขึ้น
++SCG-HEIM ผลตอบรับดี
นายพิชิต ไม้พุ่ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และกรรมการบริษัท เอสซีจี-เซกิซุย เซลล์ จำกัด เปิดเผยว่า บ้าน SCG-HEIM ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งดีเวลอปเปอร์และลูกค้ารายย่อย หลังเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2552 ปัจจุบันบริษัทได้ทุ่มงบประมาณราว 2,000 ล้านบาท ในการเตรียมขยายพื้นที่โรงงานการผลิตเดิม ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมหนองแคเพิ่มเป็น 200 ไร่ และใช้เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์มาช่วยในการผลิต ส่งผลให้โรงงานมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 หลังต่อปี จากเดิมที่สามารถผลิตได้เพียง 200 หลังต่อปี คาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 1 ปี 2556
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าผู้บริโภคเริ่มรับรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบ้าน SCG-HEIM มากขึ้น ดีเวลอปเปอร์เองก็หันมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าวกับโครงการของตัวเองมากขึ้นเช่นกัน เพราะช่วยลดปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างจนถึงการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้า ปัญหางบบานปลาย หรือปัญหาที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัย
สำหรับราคาบ้าน SCG-HEIM ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งในปี 2556 บริษัทจะผลิตบ้านที่มีราคา 4-5 ล้านบาท เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายผลิตบ้าน SCG-HEIM เพื่อการส่งออก โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต" นายพิชิต กล่าว
ล่าสุด บริษัทได้ร่วมกับบริษัทชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) พัฒนาแบบโครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่ โครงการบ้านเดี่ยวแห่งนวัตกรรมบนพื้นที่กว่า 27 ไร่ เพื่อความเป็นอยู่ที่มั่นใจในความปลอดภัย คงทนในทุกสภาพอากาศด้วยกระบวนการก่อสร้างที่ทันสมัยตั้งแต่ฐานรากจดหลังคา มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท ราคาเริ่มตั้งแต่ 11-21 ล้านบาท
++แสนสิริ ชี้พรีคาสต์ช่วยดันยอด
รายงานข่าวจาก บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากใช้ระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้างโครงการต่างๆของบริษัท ภายใต้แบรนด์ ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ และเศรษฐสิริ ส่งผลให้บริษัทสามารถเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มจากเดิม 44 โครงการ เป็น 50 โครงการ มูลค่ารวม 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากเป้าที่ตั้งไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท เป็น 4 หมื่นล้านบาท หากสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใหม่ไว้จะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 100% กำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 52,000 ตร.ม. ต่อเดือนหรือประมาณ 150 หลังต่อเดือน
ทั้งนี้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ทำให้เกิดความแม่นยำในการกำหนดขนาดชิ้นงาน ทำงานได้รวดเร็ว ประหยัดเวลาและลดระยะเวลาการก่อสร้าง จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างบ้านเดียวประมาณ 6-9 เดือน เป็น 75-80 วันเท่านั้น รวมถึงช่วยลดการพึ่งพาแรงงานมีฝีมือ เนื่องจากไม่ต้องใช้การฉาบปูน ส่งผลให้ปัจจุบันแสนสิริใช้แรงงานต่อ 1 ไซต์งานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการก่อสร้างด้วยระบบเดิม ซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นอีกด้วย
++ยิปซัมตราช้างจับมือดีเวลอปเปอร์
นายกรัณย์ แสงไฟ ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด กล่าวว่า ผมได้คุยกับผู้รับเหมาและดีเวลอปเปอร์บิ๊กเนมในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายรายพูดตรงกันว่าวันนี้แรงงานค่อนข้างหายาก เช่น ช่างฉาบที่มีฝีมือ เราได้นำเสนอกับเจ้าของหมู่บ้าน 2-3 บริษัท ให้ใช้ยิปซัมแทนผนัง เพราะติดตั้งง่ายและรวดเร็ว โดยบริษัทได้ร่วมกับเจ้าของหมู่บ้านพัฒนาผนังบ้านเพื่อตอบโจทย์ปัญหาแรงงานขาดแคลน แถมยังได้งานที่เรียบไม่มีรอยร้าว ซึ่งปัจจุบันในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ผนังภายในใช้ยิปซัมเกือบ 100% ไม่ต้องก่ออิฐฉาบปูนซึ่งใช้เวลาเรียงอิฐทีละก้อน และแรงงานก็หายาก
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,791 วันที่ 11-14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทได้มีการปรับใช้ระบบ เสา คาน และพื้นสำเร็จรูป จากโรงงานมาติดตั้งที่หน้างานแทนการก่อสร้างด้วยแรงงานคนทั้งระบบ ในส่วนของโครงการบ้านเดี่ยวอควา ดิวิน่า บาย สัมมากร รามคำแหง 94 ระดับราคา 5-20 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่ใช้ระบบการก่อสร้างสำเร็จรูป เพื่อช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้าง
"การก่อสร้างด้วยระบบดังกล่าวช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น บ้านเดี่ยวหนึ่งหลัง หากใช้การก่อสร้างแบบเดิมต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนถึงจะแล้วเสร็จ แต่เมื่อใช้การก่อสร้างแบบสำเร็จรูป เราสามารถควบคุมงานให้แล้วเสร็จภายใน 5 เดือน แม้ว่าต้นทุนการก่อสร้างจะไม่ได้ลดลงมาก แต่ก็ช่วยในเรื่องของการส่งมอบงานให้กับลูกค้าทันเวลา ซึ่งในอนาคตสัมมากรอาจนำระบบนี้ไปใช้กับโครงการอื่นในอนาคต หากปัญหาแรงงานยังรุนแรงเหมือนดังเช่นปัจจุบัน" นายกิตติพล กล่าว
สอดรับกับนายศักดา โควิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า การขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ขณะนี้ถือว่าเป็นปัญหาหนัก แต่ยังไม่ถึงทางตัน สำหรับบริษัทยังไม่มีนโยบายนำระบบกึ่งสำเร็จรูปมาใช้ แต่ปรับกระบวนการก่อสร้างใหม่ ลดระยะเวลา เช่น สร้างโรงงานขนาดย่อมขึ้นเอง เพื่อตัดเหล็กและส่งไปหน้างาน, ใช้เครื่องพ่น-ฉาบปูน, ใช้พื้นไม้ลามิเนตแทนไม้ปาร์เกต์, ใช้โครงหลังคาสำเร็จรูป ฯลฯ ในภาพรวมหากเป็นบริษัทที่ปลูกสร้างบ้านระดับราคา 2-5 ล้านบาท อาจจะเริ่มทยอยเปลี่ยนมาใช้เสา-คานสำเร็จรูปมากขึ้น
++SCG-HEIM ผลตอบรับดี
นายพิชิต ไม้พุ่ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และกรรมการบริษัท เอสซีจี-เซกิซุย เซลล์ จำกัด เปิดเผยว่า บ้าน SCG-HEIM ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งดีเวลอปเปอร์และลูกค้ารายย่อย หลังเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2552 ปัจจุบันบริษัทได้ทุ่มงบประมาณราว 2,000 ล้านบาท ในการเตรียมขยายพื้นที่โรงงานการผลิตเดิม ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมหนองแคเพิ่มเป็น 200 ไร่ และใช้เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์มาช่วยในการผลิต ส่งผลให้โรงงานมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 หลังต่อปี จากเดิมที่สามารถผลิตได้เพียง 200 หลังต่อปี คาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 1 ปี 2556
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าผู้บริโภคเริ่มรับรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบ้าน SCG-HEIM มากขึ้น ดีเวลอปเปอร์เองก็หันมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าวกับโครงการของตัวเองมากขึ้นเช่นกัน เพราะช่วยลดปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้างจนถึงการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้า ปัญหางบบานปลาย หรือปัญหาที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัย
สำหรับราคาบ้าน SCG-HEIM ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งในปี 2556 บริษัทจะผลิตบ้านที่มีราคา 4-5 ล้านบาท เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายผลิตบ้าน SCG-HEIM เพื่อการส่งออก โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต" นายพิชิต กล่าว
ล่าสุด บริษัทได้ร่วมกับบริษัทชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) พัฒนาแบบโครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่ โครงการบ้านเดี่ยวแห่งนวัตกรรมบนพื้นที่กว่า 27 ไร่ เพื่อความเป็นอยู่ที่มั่นใจในความปลอดภัย คงทนในทุกสภาพอากาศด้วยกระบวนการก่อสร้างที่ทันสมัยตั้งแต่ฐานรากจดหลังคา มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท ราคาเริ่มตั้งแต่ 11-21 ล้านบาท
++แสนสิริ ชี้พรีคาสต์ช่วยดันยอด
รายงานข่าวจาก บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากใช้ระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้างโครงการต่างๆของบริษัท ภายใต้แบรนด์ ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ และเศรษฐสิริ ส่งผลให้บริษัทสามารถเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มจากเดิม 44 โครงการ เป็น 50 โครงการ มูลค่ารวม 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากเป้าที่ตั้งไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท เป็น 4 หมื่นล้านบาท หากสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใหม่ไว้จะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 100% กำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 52,000 ตร.ม. ต่อเดือนหรือประมาณ 150 หลังต่อเดือน
ทั้งนี้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ทำให้เกิดความแม่นยำในการกำหนดขนาดชิ้นงาน ทำงานได้รวดเร็ว ประหยัดเวลาและลดระยะเวลาการก่อสร้าง จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างบ้านเดียวประมาณ 6-9 เดือน เป็น 75-80 วันเท่านั้น รวมถึงช่วยลดการพึ่งพาแรงงานมีฝีมือ เนื่องจากไม่ต้องใช้การฉาบปูน ส่งผลให้ปัจจุบันแสนสิริใช้แรงงานต่อ 1 ไซต์งานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการก่อสร้างด้วยระบบเดิม ซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นอีกด้วย
++ยิปซัมตราช้างจับมือดีเวลอปเปอร์
นายกรัณย์ แสงไฟ ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด กล่าวว่า ผมได้คุยกับผู้รับเหมาและดีเวลอปเปอร์บิ๊กเนมในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายรายพูดตรงกันว่าวันนี้แรงงานค่อนข้างหายาก เช่น ช่างฉาบที่มีฝีมือ เราได้นำเสนอกับเจ้าของหมู่บ้าน 2-3 บริษัท ให้ใช้ยิปซัมแทนผนัง เพราะติดตั้งง่ายและรวดเร็ว โดยบริษัทได้ร่วมกับเจ้าของหมู่บ้านพัฒนาผนังบ้านเพื่อตอบโจทย์ปัญหาแรงงานขาดแคลน แถมยังได้งานที่เรียบไม่มีรอยร้าว ซึ่งปัจจุบันในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ผนังภายในใช้ยิปซัมเกือบ 100% ไม่ต้องก่ออิฐฉาบปูนซึ่งใช้เวลาเรียงอิฐทีละก้อน และแรงงานก็หายาก
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,791 วันที่ 11-14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555