
บิ๊กบีทีเอส "คีรี" ยันสัญญาสัมปทานและสัญญาว่าจ้างเดินรถ 30 ปีถูกต้อง เพิ่มความเชื่อมั่นลงทุนซื้อขบวนรถไฟฟ้าเพิ่ม ย้ำไม่มีรายการยืดสัมปทาน ส่วนผลประกอบการรอบปีที่ผ่านมาผู้ใช้บริการเพิ่มประมาณ 21% มิถุนายนนี้รถไฟฟ้าที่สั่งซื้อจากบริษัทซีเมนส์ฯจะเริ่มทยอยเดินทางถึงไทย
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยถึงประเด็นสัญญาสัมปทานและสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าระยะเวลา 30 ปีที่ลงนามกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า การเซ็นสัญญากับ กทม.ไม่ใช่การต่อสัญญาสัมปทาน วันนี้สัญญาสัมปทานของบีทีเอสเป็นอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น นั่นคือระยะเวลายังเหลือ 17 ปี ส่วนสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครที่ลงนามในสัญญากับ กรุงเทพธนาคม จำกัด เมื่อเร็วๆนี้ เป็นการว่าจ้างให้บริษัทเดินรถในส่วนต่อขยายเส้นทาง อ่อนนุช-แบริ่ง
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยถึงประเด็นสัญญาสัมปทานและสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าระยะเวลา 30 ปีที่ลงนามกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า การเซ็นสัญญากับ กทม.ไม่ใช่การต่อสัญญาสัมปทาน วันนี้สัญญาสัมปทานของบีทีเอสเป็นอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น นั่นคือระยะเวลายังเหลือ 17 ปี ส่วนสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครที่ลงนามในสัญญากับ กรุงเทพธนาคม จำกัด เมื่อเร็วๆนี้ เป็นการว่าจ้างให้บริษัทเดินรถในส่วนต่อขยายเส้นทาง อ่อนนุช-แบริ่ง
"ทำไมต้องบีทีเอส ความจริงก็คือที่ผ่านมา กทม.จ้างเราเป็นรายปี ทำให้บริษัทไม่กล้าเสี่ยงลงทุนซื้อรถราคาสูง 100-200 ล้านบาท และคิดว่าคงไม่มีบริษัทไหนทำเช่นกัน บีทีเอสก่อนเริ่มสัมปทานเราลงทุนซื้อรถไฟฟ้าก่อน 35 ขบวน ขบวนละ 3 ตู้ ขณะนี้เริ่มแออัด ต่อมาเมื่อมีการสร้างเส้นทางต่อขยายเราก็ต้องมีการเพิ่มรถ บริษัทจึงได้เจรจากับกทม. ถึงปัญหาความหนาแน่นของผู้โดยสารเป็นเวลาสองปี ฉะนั้นการให้สัญญาระยะยาว ทำให้บริษัทสามารถวางแผนการซื้อรถและอบรมพนักงาน"
นายคีรีกล่าวว่า"ยืนยันว่า สัญญาที่ทำมีความรอบคอบ และมีการศึกษาเป็นเวลาร่วมกว่า 2 ปี เพื่อผลประโยชน์ของผู้ใช้รถไฟฟ้า ถ้าจะมีการตรวจสอบหรือดำเนินทางคดี บริษัทก็พร้อมจะต่อสู้ทางกฎหมาย"
สำหรับผลประกอบการของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ในการให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสในรอบปีบัญชี 2554-2555 (เมษายน 2554-มีนาคม 2555) นั้น ผู้โดยสารที่มาใช้บริการรถไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 176,028,556 เที่ยวคน เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 21.24% และเมื่อพิจารณาจากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวัน ภาพรวมปรับตัวสูงขึ้น 18.26% หรือเพิ่มจาก 406,693 เที่ยวคน เป็น 480,952 เที่ยวคน โดยที่ผู้โดยสารเฉลี่ยในวันทำการปรับตัวสูงขึ้น 16.61% หรือเพิ่มจาก 464,475 เที่ยวคน เป็น 541,637 เที่ยวคน รวมถึงจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันเสาร์ปรับตัวสูงขึ้น 14.80% หรือเพิ่มจาก 368,589 เที่ยวคน เป็น 423,136 เที่ยวคน และจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ก็มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 26.12% หรือเพิ่มจาก 253,368 เที่ยวคน เป็น 319,558 เที่ยวคน
จากผลการดำเนินงานจะเห็นว่าจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าสูงถึง 21.24% โดยไตรมาสแรกจำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงจากปีที่ผ่านมาถึง 38.85% ซึ่งเป็นผลมาจากช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 มีจำนวนผู้โดยสารน้อยเนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง สำหรับไตรมาสที่ 2 จำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงถึง 19.40% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเริ่มเปิดให้บริการส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทตอนที่ 1 (อ่อนนุช-แบริ่ง) เพิ่ม 5 สถานี ส่วนไตรมาสที่ 3 พบว่าจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเพียง 9.57% เป็นผลจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2554 อย่างไรก็ตาม ภายหลังสถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายลง จำนวนผู้โดยสารกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนมีนาคม 2555 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 4 มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้น 22.07% นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การเติบโตของผู้โดยสารขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่มีผลต่อต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลปรับตัวสูงขึ้น ความหนาแน่นของการจราจรบนท้องถนน รวมถึงการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจรอบเส้นทางรถไฟฟ้า ส่งผลให้ภาพรวมผู้โดยสารตลอดปีบัญชียังสูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทกำหนดไว้
สัดส่วนการใช้บัตรโดยสารเที่ยวเดียวมีปริมาณสูงสุด 48.78% รองลงมาคือ บัตรประเภท 30 วัน สำหรับผู้ใหญ่มีสัดส่วนการใช้บัตรโดยสาร 27.40% บัตรประเภทเติมเงินมีสัดส่วน 14.38% บัตรประเภท 30 วัน สำหรับนักเรียน-นักศึกษามีสัดส่วน 8.47% ตามลำดับ และบัตรโดยสารประเภท 1 วัน มีสัดส่วนการใช้เพียง 0.96%
สำหรับการสั่งซื้อขบวนรถไฟฟ้าเพิ่ม เพื่อให้บริการผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส และโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายให้ได้รับความสะดวกสบายในการใช้บริการรถไฟฟ้านั้น ในเดือนมิถุนายนนี้ รถไฟฟ้าจำนวน 35 ตู้ที่บริษัทสั่งซื้อจากบริษัท ซีเมนส์ จำกัด ประเทศเยอรมนี จะเริ่มทยอยเดินทางมาถึงประเทศไทย โดยตู้แรกจะเดินทางมาถึงกลางเดือนสิงหาคม และจากนั้นบริษัทจะเริ่มนำมาประกอบเข้ากับขบวนรถไฟฟ้าเดิมที่มีความยาว 3 ตู้ต่อขบวน แล้วทำการทดสอบก่อนนำขึ้นให้บริการในระบบต่อไป ส่วนรถไฟฟ้าที่บริษัทสั่งเพิ่ม 5 ขบวนขบวนละ 4 ตู้ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเริ่มทยอยนำเข้ามาในปี 2556 เพื่อนำมาให้บริการส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงวงเวียนใหญ่-บางหว้า ระยะทางรวม 5.3 กิโลเมตร นอกจากนี้บริษัทเริ่มเตรียมการสั่งซื้อขบวนรถไฟฟ้าอีก 7 ขบวน 28 ตู้ เพื่อนำเข้ามาเสริมในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสและส่วนต่อขยายทั้งสายสุขุมวิทและสายสีลม ซึ่งจะมีระยะทางรวมกัน 36.25 กิโลเมตร 34 สถานี เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,739 13-16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
นายคีรีกล่าวว่า"ยืนยันว่า สัญญาที่ทำมีความรอบคอบ และมีการศึกษาเป็นเวลาร่วมกว่า 2 ปี เพื่อผลประโยชน์ของผู้ใช้รถไฟฟ้า ถ้าจะมีการตรวจสอบหรือดำเนินทางคดี บริษัทก็พร้อมจะต่อสู้ทางกฎหมาย"
สำหรับผลประกอบการของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ในการให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสในรอบปีบัญชี 2554-2555 (เมษายน 2554-มีนาคม 2555) นั้น ผู้โดยสารที่มาใช้บริการรถไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 176,028,556 เที่ยวคน เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 21.24% และเมื่อพิจารณาจากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวัน ภาพรวมปรับตัวสูงขึ้น 18.26% หรือเพิ่มจาก 406,693 เที่ยวคน เป็น 480,952 เที่ยวคน โดยที่ผู้โดยสารเฉลี่ยในวันทำการปรับตัวสูงขึ้น 16.61% หรือเพิ่มจาก 464,475 เที่ยวคน เป็น 541,637 เที่ยวคน รวมถึงจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันเสาร์ปรับตัวสูงขึ้น 14.80% หรือเพิ่มจาก 368,589 เที่ยวคน เป็น 423,136 เที่ยวคน และจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ก็มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 26.12% หรือเพิ่มจาก 253,368 เที่ยวคน เป็น 319,558 เที่ยวคน
จากผลการดำเนินงานจะเห็นว่าจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าสูงถึง 21.24% โดยไตรมาสแรกจำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงจากปีที่ผ่านมาถึง 38.85% ซึ่งเป็นผลมาจากช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 มีจำนวนผู้โดยสารน้อยเนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง สำหรับไตรมาสที่ 2 จำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงถึง 19.40% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเริ่มเปิดให้บริการส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทตอนที่ 1 (อ่อนนุช-แบริ่ง) เพิ่ม 5 สถานี ส่วนไตรมาสที่ 3 พบว่าจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเพียง 9.57% เป็นผลจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2554 อย่างไรก็ตาม ภายหลังสถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายลง จำนวนผู้โดยสารกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนมีนาคม 2555 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 4 มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้น 22.07% นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การเติบโตของผู้โดยสารขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่มีผลต่อต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลปรับตัวสูงขึ้น ความหนาแน่นของการจราจรบนท้องถนน รวมถึงการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจรอบเส้นทางรถไฟฟ้า ส่งผลให้ภาพรวมผู้โดยสารตลอดปีบัญชียังสูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทกำหนดไว้
สัดส่วนการใช้บัตรโดยสารเที่ยวเดียวมีปริมาณสูงสุด 48.78% รองลงมาคือ บัตรประเภท 30 วัน สำหรับผู้ใหญ่มีสัดส่วนการใช้บัตรโดยสาร 27.40% บัตรประเภทเติมเงินมีสัดส่วน 14.38% บัตรประเภท 30 วัน สำหรับนักเรียน-นักศึกษามีสัดส่วน 8.47% ตามลำดับ และบัตรโดยสารประเภท 1 วัน มีสัดส่วนการใช้เพียง 0.96%
สำหรับการสั่งซื้อขบวนรถไฟฟ้าเพิ่ม เพื่อให้บริการผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส และโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายให้ได้รับความสะดวกสบายในการใช้บริการรถไฟฟ้านั้น ในเดือนมิถุนายนนี้ รถไฟฟ้าจำนวน 35 ตู้ที่บริษัทสั่งซื้อจากบริษัท ซีเมนส์ จำกัด ประเทศเยอรมนี จะเริ่มทยอยเดินทางมาถึงประเทศไทย โดยตู้แรกจะเดินทางมาถึงกลางเดือนสิงหาคม และจากนั้นบริษัทจะเริ่มนำมาประกอบเข้ากับขบวนรถไฟฟ้าเดิมที่มีความยาว 3 ตู้ต่อขบวน แล้วทำการทดสอบก่อนนำขึ้นให้บริการในระบบต่อไป ส่วนรถไฟฟ้าที่บริษัทสั่งเพิ่ม 5 ขบวนขบวนละ 4 ตู้ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเริ่มทยอยนำเข้ามาในปี 2556 เพื่อนำมาให้บริการส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงวงเวียนใหญ่-บางหว้า ระยะทางรวม 5.3 กิโลเมตร นอกจากนี้บริษัทเริ่มเตรียมการสั่งซื้อขบวนรถไฟฟ้าอีก 7 ขบวน 28 ตู้ เพื่อนำเข้ามาเสริมในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสและส่วนต่อขยายทั้งสายสุขุมวิทและสายสีลม ซึ่งจะมีระยะทางรวมกัน 36.25 กิโลเมตร 34 สถานี เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,739 13-16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555