บริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนร่วมทุนพันธมิตรไทย รุกตลาดคอนโด ทุ่มโครงการแรก 4,000 ล้าน ผุด ทีซี กรีน พระราม 9
นายวรพงศ์ วิรัตน์มาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ (ไทยแลนด์)กล่าวว่า บริษัทเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มนักธุรกิจไทยในสัดส่วน60% กับ บริษัท เทียนเฉิน ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนในสัดส่วน 40% ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
"การลงทุนในไทยจะเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในเมืองที่บริษัท เทียนเฉิน มีประสบการณ์ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่เมืองหางโจวมา 20 ปี โดยมีจุดแข็งในเรื่องเทคโนโลยีการก่อสร้าง และการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากจีนที่เทียนเฉินสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูก ทำให้การพัฒนาโครงการของบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี" นายวรพงศ์ กล่าว
นายวรพงศ์ วิรัตน์มาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ (ไทยแลนด์)กล่าวว่า บริษัทเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มนักธุรกิจไทยในสัดส่วน60% กับ บริษัท เทียนเฉิน ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนในสัดส่วน 40% ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
"การลงทุนในไทยจะเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในเมืองที่บริษัท เทียนเฉิน มีประสบการณ์ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่เมืองหางโจวมา 20 ปี โดยมีจุดแข็งในเรื่องเทคโนโลยีการก่อสร้าง และการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากจีนที่เทียนเฉินสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูก ทำให้การพัฒนาโครงการของบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี" นายวรพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการแรกที่บริษัทลงทุนจะเป็นคอนโดมิเนียม เนื้อที่16 ไร่ บนถนนพระราม 9 ใช้ชื่อว่าทีซี กรีน ใช้เงินลงทุนประมาณ4,000 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาเป็น2 เฟส เฟสแรกเป็นคอนโดมิเนียมสูง 32 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 958 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 1.74 ล้านบาทสำหรับห้องขนาด 30 ตร.ม. โดยขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 200 ยูนิต และเฟสที่ 2 เป็นคอนโดมิเนียม สูง 33 ชั้น 2 อาคาร จำนวน760 ยูนิต
"บริษัทถือเป็นน้องใหม่ในตลาดจึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยการก่อสร้างโครงการให้เห็นก่อนที่จะเปิดขาย โดยขณะนี้ในเฟสแรกก่อสร้างไปแล้ว 50% นอกจากนี้ ยังมีความตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการให้คุ้มค่ากับเงินที่ลูกค้าต้องจ่ายไป โดยตั้งเป้าว่าจะเป็น 1 ใน 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในอีก 6-10 ปีข้างหน้า" นายวรพงศ์ กล่าว
สำหรับแผนพัฒนาในอนาคตจะเปิดโครงการ ทีซี กรีน เฟสที่ 2 ในปีหน้า ซึ่งยังมีที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาบนถนนพระราม 3 และดินแดง ที่อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการพัฒนา และมีแนวคิดพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ด้วย แต่ต้องพัฒนาโครงการระดับกลางให้เป็นที่ยอมรับก่อน
ด้านนายติง หลงเมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ (ไทยแลนด์)กล่าวว่า การเข้ามาลงทุนในไทยเพราะเห็นว่าตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 โครงการคอนโดมิเนียมในไทยส่วนใหญ่จะพัฒนาโครงการขนาดเล็ก จึงยังมีช่องว่างสำหรับการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจของไทยยังถือว่าต่ำกว่าจีน และยังขยายฐานการลงทุนเพื่อเข้ามารองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิอาเซียนอีกด้วย
สำหรับ บริษัท เทียนเฉิน มีการลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศจีนมูลค่ารวม 2,000 ล้านหยวน และมีการลงทุนโครงการในมองโกเลียอีกประมาณ 200 ล้านหยวน ล่าสุดเข้ามาลงทุนในไทยเนื่องจากการลงทุนในจีนมีต้นทุนที่สูง ในขณะที่ไทยยังมีต้นทุนที่ถูกกว่าและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
"บริษัทถือเป็นน้องใหม่ในตลาดจึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยการก่อสร้างโครงการให้เห็นก่อนที่จะเปิดขาย โดยขณะนี้ในเฟสแรกก่อสร้างไปแล้ว 50% นอกจากนี้ ยังมีความตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการให้คุ้มค่ากับเงินที่ลูกค้าต้องจ่ายไป โดยตั้งเป้าว่าจะเป็น 1 ใน 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในอีก 6-10 ปีข้างหน้า" นายวรพงศ์ กล่าว
สำหรับแผนพัฒนาในอนาคตจะเปิดโครงการ ทีซี กรีน เฟสที่ 2 ในปีหน้า ซึ่งยังมีที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาบนถนนพระราม 3 และดินแดง ที่อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการพัฒนา และมีแนวคิดพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ด้วย แต่ต้องพัฒนาโครงการระดับกลางให้เป็นที่ยอมรับก่อน
ด้านนายติง หลงเมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ (ไทยแลนด์)กล่าวว่า การเข้ามาลงทุนในไทยเพราะเห็นว่าตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 โครงการคอนโดมิเนียมในไทยส่วนใหญ่จะพัฒนาโครงการขนาดเล็ก จึงยังมีช่องว่างสำหรับการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจของไทยยังถือว่าต่ำกว่าจีน และยังขยายฐานการลงทุนเพื่อเข้ามารองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิอาเซียนอีกด้วย
สำหรับ บริษัท เทียนเฉิน มีการลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศจีนมูลค่ารวม 2,000 ล้านหยวน และมีการลงทุนโครงการในมองโกเลียอีกประมาณ 200 ล้านหยวน ล่าสุดเข้ามาลงทุนในไทยเนื่องจากการลงทุนในจีนมีต้นทุนที่สูง ในขณะที่ไทยยังมีต้นทุนที่ถูกกว่าและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์