นับตั้งแต่นางบุษบา ดามาพงศ์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา แทนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หันไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมานางบุษบา ได้ออกมาแถลงข่าวพบปะสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกหลังการเข้ารับตำแหน่ง พร้อมด้วย 2 ผู้บริหาร ได้แก่ ร.อ.กรี เดชชัย ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการปฏิบัติการ นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน ซึ่งถือว่านางบุษบา เป็นคีย์แมนสำคัญที่เข้ามาสานต่อนโยบายของนางสาวยิ่งลักษณ์ที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะกับเป้าหมายการทำยอดขายและรายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาท
++สานต่องาน "ปู"
การเข้ามารับช่วงบริหารของนางบุษบา ดามาพงศ์ ต่อจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นในด้านการบริหารงานและเป้าหมายอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพราะทิศทางของธุรกิจได้ถูกวางไว้ล่วงหน้าที่จะผลักดันให้มียอดขายและรายได้ถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้คงจะสามารถทำยอดขายได้เป็นไปตามเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท นับเป็นการเติบโต 20% จากปีที่ผ่านมาทำได้ 8,100 ล้านบาท แต่ในส่วนรายได้อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ผ่านมา ทำให้เป้าหมายรายได้คงต้องเลื่อนออกไปอย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้านี้
ขณะที่ทิศทางของบริษัท เอสซีฯ ภายใต้การบริหารงานของนางบุษบานั้น ก็ยังคงเป็นไปตามนโยบายเดิมที่นางสาวยิ่งลักษณ์วางไว้ แต่จะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานให้ดีมากขึ้น และสร้างผลกำไรให้มีมากขึ้น และคงต้องสร้างชื่อให้กับเอสซีเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ โดยการนำเอาโครงการคอนโดมิเนียม ออกไปขายยังต่างประเทศผ่านบริษัทเอเยนต์ โดยวางเป้าหมายกลุ่มประเทศในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง เป็นต้น
ส่วนภาพลักษณ์ของบริษัท เอสซีฯ ยังคงเป็นของตระกูล "ชินวัตร" นั้น นางบุษบา ก็ยืนยันว่าหากมองในเรื่องของการถือหุ้นใหญ่ ก็ยังคงปฏิเสธไม่ได้ แต่หากมองดูในด้านการบริหารงานนั้น ก็เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และดำเนินงานถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับทุกอย่าง แม้แต่การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตผู้บริหารไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี บริษัท เอสซีฯ ก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรนอกเหนือจากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเคยบริหารงานเท่านั้นเอง
++ลุยโปรเจ็กต์ใหม่1.7หมื่นล.
ด้านแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ วางแผนการพัฒนาไว้ 16 โครงการ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท และบริษัทยังมีโครงการต่อเนื่องอีก 6 โครงการ มูลค่าคงเหลือประมาณ 11,500 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีโครงการที่จะขายในปีนี้ 32 โครงการ รวมมูลค่า 28,500 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้ปีนี้คาดว่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทมียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 3,400 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ 60% โดยในปีนี้บริษัทจะขยายทำเลใหม่และกลุ่มลูกค้าใหม่ พร้อมทั้งยังเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลักด้วยสัดส่วน 70% และจะมีการออกไปทำตลาดในเมืองท่องเที่ยว อย่างหัวหิน และชะอำเพิ่มด้วย ขณะที่พัทยาก็อยู่ระหว่างการหาซื้อที่ดิน มูลค่าราว 500 ล้านบาท โดยจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์เซ็นทริค ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบลงทุนที่ดินไว้ 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปีอีก 1-2 ข้างหน้า
สำหรับโครงการแนวสูงมี 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 5,600 ล้านบาท โดยโครงการแรกจะเปิดให้เยี่ยมชมในปลายไตรมาสแรกนี้ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมและที่พักตากอากาศที่หัวหิน ชื่อ "เดอะ เครสท์ แซนโตรา หัวหิน" มีขนาดพื้นที่โครงการประมาณ 11 ไร่ ด้วยแนวคิดโครงการ "Santorini Island" มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 1 แสนบาทต่อตารางเมตร มีจุดเด่นทำเลที่ติดชายหาดหัวหิน หน้ากว้างประมาณ 80 เมตร สำหรับคอนโดมิเนียมใหม่อีก 3 โครงการ ยังมุ่งเน้นทำเลหลักที่อยู่ใจกลางธุรกิจ ได้แก่ ทำเลสุขุมวิท สาทร และ รัชดาฯ-รามอินทรา ซึ่งยังคงใช้แบรนด์หลัก คือ เดอะ เครสท์ และ เซ็นทริค
ส่วนพื้นที่สำนักงานให้เช่าในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการพัฒนา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและความต้องการพื้นที่เช่าไม่เติบโต และที่ผ่านมาอัตราการเช่าลดลงด้วย ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ประมาณ 800 ล้านบาท หรือสัดส่วน 10% ของรายได้รวม
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการนำเทคโนโลยีชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป (พรีแฟบ) มาใช้ในการสร้างโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ซึ่งจะส่งผลให้ระยะเวลาการก่อสร้างเร็วขึ้น โดยการก่อสร้างทาวน์โฮมจะใช้เวลา 4 เดือนจากเดิม 7 เดือน หรือจำนวน 20-25 ยูนิตต่อเดือน ขณะที่บ้านเดี่ยวก็จะใช้เวลาเพียง 4 เดือนครึ่ง หรือ 10 หลังต่อเดือน โดยจะส่งผลให้มีการโอนได้เร็วขึ้น โดยจะเริ่มใช้กับบ้านระดับราคา 5 ล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,715 19-22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
++สานต่องาน "ปู"
การเข้ามารับช่วงบริหารของนางบุษบา ดามาพงศ์ ต่อจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นในด้านการบริหารงานและเป้าหมายอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพราะทิศทางของธุรกิจได้ถูกวางไว้ล่วงหน้าที่จะผลักดันให้มียอดขายและรายได้ถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้คงจะสามารถทำยอดขายได้เป็นไปตามเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท นับเป็นการเติบโต 20% จากปีที่ผ่านมาทำได้ 8,100 ล้านบาท แต่ในส่วนรายได้อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ผ่านมา ทำให้เป้าหมายรายได้คงต้องเลื่อนออกไปอย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้านี้
ขณะที่ทิศทางของบริษัท เอสซีฯ ภายใต้การบริหารงานของนางบุษบานั้น ก็ยังคงเป็นไปตามนโยบายเดิมที่นางสาวยิ่งลักษณ์วางไว้ แต่จะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานให้ดีมากขึ้น และสร้างผลกำไรให้มีมากขึ้น และคงต้องสร้างชื่อให้กับเอสซีเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ โดยการนำเอาโครงการคอนโดมิเนียม ออกไปขายยังต่างประเทศผ่านบริษัทเอเยนต์ โดยวางเป้าหมายกลุ่มประเทศในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง เป็นต้น
ส่วนภาพลักษณ์ของบริษัท เอสซีฯ ยังคงเป็นของตระกูล "ชินวัตร" นั้น นางบุษบา ก็ยืนยันว่าหากมองในเรื่องของการถือหุ้นใหญ่ ก็ยังคงปฏิเสธไม่ได้ แต่หากมองดูในด้านการบริหารงานนั้น ก็เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และดำเนินงานถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับทุกอย่าง แม้แต่การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตผู้บริหารไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี บริษัท เอสซีฯ ก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรนอกเหนือจากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเคยบริหารงานเท่านั้นเอง
++ลุยโปรเจ็กต์ใหม่1.7หมื่นล.
ด้านแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ วางแผนการพัฒนาไว้ 16 โครงการ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท และบริษัทยังมีโครงการต่อเนื่องอีก 6 โครงการ มูลค่าคงเหลือประมาณ 11,500 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีโครงการที่จะขายในปีนี้ 32 โครงการ รวมมูลค่า 28,500 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้ปีนี้คาดว่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทมียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 3,400 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ 60% โดยในปีนี้บริษัทจะขยายทำเลใหม่และกลุ่มลูกค้าใหม่ พร้อมทั้งยังเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลักด้วยสัดส่วน 70% และจะมีการออกไปทำตลาดในเมืองท่องเที่ยว อย่างหัวหิน และชะอำเพิ่มด้วย ขณะที่พัทยาก็อยู่ระหว่างการหาซื้อที่ดิน มูลค่าราว 500 ล้านบาท โดยจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์เซ็นทริค ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบลงทุนที่ดินไว้ 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปีอีก 1-2 ข้างหน้า
สำหรับโครงการแนวสูงมี 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 5,600 ล้านบาท โดยโครงการแรกจะเปิดให้เยี่ยมชมในปลายไตรมาสแรกนี้ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมและที่พักตากอากาศที่หัวหิน ชื่อ "เดอะ เครสท์ แซนโตรา หัวหิน" มีขนาดพื้นที่โครงการประมาณ 11 ไร่ ด้วยแนวคิดโครงการ "Santorini Island" มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 1 แสนบาทต่อตารางเมตร มีจุดเด่นทำเลที่ติดชายหาดหัวหิน หน้ากว้างประมาณ 80 เมตร สำหรับคอนโดมิเนียมใหม่อีก 3 โครงการ ยังมุ่งเน้นทำเลหลักที่อยู่ใจกลางธุรกิจ ได้แก่ ทำเลสุขุมวิท สาทร และ รัชดาฯ-รามอินทรา ซึ่งยังคงใช้แบรนด์หลัก คือ เดอะ เครสท์ และ เซ็นทริค
ส่วนพื้นที่สำนักงานให้เช่าในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการพัฒนา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและความต้องการพื้นที่เช่าไม่เติบโต และที่ผ่านมาอัตราการเช่าลดลงด้วย ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ประมาณ 800 ล้านบาท หรือสัดส่วน 10% ของรายได้รวม
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการนำเทคโนโลยีชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป (พรีแฟบ) มาใช้ในการสร้างโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ซึ่งจะส่งผลให้ระยะเวลาการก่อสร้างเร็วขึ้น โดยการก่อสร้างทาวน์โฮมจะใช้เวลา 4 เดือนจากเดิม 7 เดือน หรือจำนวน 20-25 ยูนิตต่อเดือน ขณะที่บ้านเดี่ยวก็จะใช้เวลาเพียง 4 เดือนครึ่ง หรือ 10 หลังต่อเดือน โดยจะส่งผลให้มีการโอนได้เร็วขึ้น โดยจะเริ่มใช้กับบ้านระดับราคา 5 ล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,715 19-22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555