คมนาคมสั่งถอยท่าเรือน้ำลึกปากบารา หลังรัฐบาลแสดงท่าทีชัดเจนกรณีสนับสนุนเอกชนไทยไปลงทุนท่าเรือทวายแทน "ชัจจ์"ชี้เหตุงบประมาณไม่มี และขาดเอกชนสนับสนุน แถมต้องใช้งบประมาณไปฟื้นฟูผลกระทบจากอุทกภัยตามนโยบายรัฐบาล ด้านกรมเจ้าท่ายืนยันเจตนารมณ์เดิมพัฒนาเป็นท่าเรือน้ำลึก
พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า คงต้องยุติการผลักดันโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราออกไปก่อน เนื่องจากหากผลักดันไปก็มีปัญหางบประมาณไม่มีดำเนินการ เนื่องจากโครงการนี้ต้องใช้งบประมาณสูงมาก อีกทั้งไม่มีเอกชนร่วมสนับสนุน เพราะโดยส่วนใหญ่ยังเห็นว่าท่าเรือแหลมฉบังมีความจำเป็นมากกว่า ซึ่งหากจะต้องมาเพิ่มภาระที่ท่าเรือปากบารา ก็ยังมองไม่เห็นความคุ้มค่าที่จะได้รับ
"เรื่องงบประมาณเป็นปัจจัยหลักทำให้ต้องยุติการผลักดันเอาไว้ก่อน โดยจะต้องใช้งบไปดำเนินการฟื้นฟูผลกระทบจากอุทกภัยตามนโยบายของรัฐบาล สิ่งสำคัญรัฐบาลยังหันไปสนับสนุนเอกชนไทยที่ไปลงทุนโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ในประเทศพม่า โดยการเร่งโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่นสร้างถนนหรือเส้นทางรถไฟทางคู่ตามแผนที่กำหนดไว้ให้สามารถเชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบังเพื่อออกสู่ทะเลอย่างสะดวกขึ้นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะนักลงทุนของไทยที่สามารถขยายฐานการผลิตไปไว้ที่ทวายได้อีกทางหนึ่งด้วย"
ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ช่วงรัฐบาลที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญในเรื่องการผลักดันโครงการดังกล่าว โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ไปหารือเพื่อเร่งสรุปกับกรมเจ้าท่าเพื่อนำเสนอกระทรวงคมนาคมให้เร่งนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.)แต่ก็มีการประกาศยุบสภาในเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากหวั่นความล่าช้าของการพัฒนาโครงการที่จะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต้องล่าช้าออกไป
"โครงการนี้มีความชัดเจนแล้วในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความเห็นของหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นในที่ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังไม่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการรับรอง EIA แล้ว เช่นเดียวกับการลงพื้นที่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เพื่อชี้แจงชาวบ้านแต่ก็ถูกต่อต้านจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่ร่วมกับเอ็นจีโอและประชาชนบางกลุ่ม ทั้งนี้ในการยื่นเรื่องต่อกระทรวงคมนาคมไปแล้วนั้นได้มุ่งเน้นนำเสนอประเด็นหลัก ๆ ในเรื่องการเป็นประตูการค้าทางภาคใต้ของไทยที่ในเร็ว ๆ นี้จะเป็นเส้นทางเศรษฐกิจจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งสู่ภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะรองรับการเปิดการค้าเสรีของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC อีกทั้งยังเป็นเส้นทางขนส่งจากภาคใต้สู่ภาคอื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยทยอยดำเนินการไปทีละเฟส ส่วนการดำเนินงานจะเป็นไปในรูปใดนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเห็นสมควรต่อไป"
ด้านนายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่จะพยายามผลักดันการพัฒนาให้เป็นท่าเรือน้ำลึกเพื่อการขนส่งสินค้าออกสู่ประเทศต่าง ๆ โดยมีแนวเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงกับท่าเรือสงขลา 2 เพื่อให้เป็นประตูทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ออกสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกเพื่อยกระดับการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยให้สามารถเทียบชั้นกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ได้อย่างเหนือชั้น อีกทั้งขณะนี้ยังติดตามกรณีการขออนุมัติกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชใช้พื้นที่จำนวน 4,000 ไร่ในทะเลและการสรุปเรื่องความเห็นของประชาชนในพื้นที่เพื่อความสมบูรณ์ในการดำเนินโครงการต่อไป
โดยตามแผนการพัฒนาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือระยะที่ 1 ปี 2556-2561 สร้างความยาวหน้าท่า 750 เมตร รองรับเรือขนาด 70,000 เดตเวตตัน ได้ 2 ลำพร้อมกันหรือเทียบเรือขนาดกลางได้ 3 ลำ มีลานกองตู้สินค้ายาว 750 เมตร สามารถขนถ่ายสินค้าได้ 825,000 ทีอียูต่อปี ระยะที่ 2 ปี 2564-2566 ความยาวหน้าท่า 1,250 เมตร ขนถ่ายสินค้าได้ 1,375,000 ทีอียูต่อปี และระยะที่ 3 ปี 2568-2571 ความยาวหน้าท่า 2,250 เมตร ขนถ่ายสินค้าได้ 2,475,000 ทีอียูต่อปี
"เมื่อพิจารณาสถิติจากปริมาณสินค้าที่ขนส่งสินค้าทางน้ำชายฝั่งทะเลและระหว่างประเทศตั้งแต่ปี 2546-2554 ที่ผ่านมา คือเมื่อปี 2546 การขนส่งระหว่างประเทศ มีปริมาณ 104 ล้านตัน การขนส่งชายฝั่งทะเล 27 ล้านตัน ปี 2553 การขนส่งระหว่างประเทศ มีปริมาณ 130 ล้านตัน การขนส่งชายฝั่งทะเล 29 ล้านตัน และปี 2554 ที่ผ่านมามีปริมาณ 131 ล้านตัน การขนส่งชายฝั่งทะเล 31 ล้านตัน ดังนั้นจะพบว่าปริมาณเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ดังนั้นประเทศไทยจะต้องเร่งเปิดแนวรุกการค้าออกสู่ทางทะเลมากขึ้น"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,715 19-22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า คงต้องยุติการผลักดันโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราออกไปก่อน เนื่องจากหากผลักดันไปก็มีปัญหางบประมาณไม่มีดำเนินการ เนื่องจากโครงการนี้ต้องใช้งบประมาณสูงมาก อีกทั้งไม่มีเอกชนร่วมสนับสนุน เพราะโดยส่วนใหญ่ยังเห็นว่าท่าเรือแหลมฉบังมีความจำเป็นมากกว่า ซึ่งหากจะต้องมาเพิ่มภาระที่ท่าเรือปากบารา ก็ยังมองไม่เห็นความคุ้มค่าที่จะได้รับ
"เรื่องงบประมาณเป็นปัจจัยหลักทำให้ต้องยุติการผลักดันเอาไว้ก่อน โดยจะต้องใช้งบไปดำเนินการฟื้นฟูผลกระทบจากอุทกภัยตามนโยบายของรัฐบาล สิ่งสำคัญรัฐบาลยังหันไปสนับสนุนเอกชนไทยที่ไปลงทุนโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ในประเทศพม่า โดยการเร่งโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่นสร้างถนนหรือเส้นทางรถไฟทางคู่ตามแผนที่กำหนดไว้ให้สามารถเชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบังเพื่อออกสู่ทะเลอย่างสะดวกขึ้นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะนักลงทุนของไทยที่สามารถขยายฐานการผลิตไปไว้ที่ทวายได้อีกทางหนึ่งด้วย"
ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ช่วงรัฐบาลที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญในเรื่องการผลักดันโครงการดังกล่าว โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ไปหารือเพื่อเร่งสรุปกับกรมเจ้าท่าเพื่อนำเสนอกระทรวงคมนาคมให้เร่งนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.)แต่ก็มีการประกาศยุบสภาในเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากหวั่นความล่าช้าของการพัฒนาโครงการที่จะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต้องล่าช้าออกไป
"โครงการนี้มีความชัดเจนแล้วในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความเห็นของหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นในที่ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังไม่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการรับรอง EIA แล้ว เช่นเดียวกับการลงพื้นที่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เพื่อชี้แจงชาวบ้านแต่ก็ถูกต่อต้านจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่ร่วมกับเอ็นจีโอและประชาชนบางกลุ่ม ทั้งนี้ในการยื่นเรื่องต่อกระทรวงคมนาคมไปแล้วนั้นได้มุ่งเน้นนำเสนอประเด็นหลัก ๆ ในเรื่องการเป็นประตูการค้าทางภาคใต้ของไทยที่ในเร็ว ๆ นี้จะเป็นเส้นทางเศรษฐกิจจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งสู่ภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะรองรับการเปิดการค้าเสรีของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC อีกทั้งยังเป็นเส้นทางขนส่งจากภาคใต้สู่ภาคอื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยทยอยดำเนินการไปทีละเฟส ส่วนการดำเนินงานจะเป็นไปในรูปใดนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเห็นสมควรต่อไป"
ด้านนายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่จะพยายามผลักดันการพัฒนาให้เป็นท่าเรือน้ำลึกเพื่อการขนส่งสินค้าออกสู่ประเทศต่าง ๆ โดยมีแนวเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงกับท่าเรือสงขลา 2 เพื่อให้เป็นประตูทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ออกสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกเพื่อยกระดับการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยให้สามารถเทียบชั้นกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ได้อย่างเหนือชั้น อีกทั้งขณะนี้ยังติดตามกรณีการขออนุมัติกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชใช้พื้นที่จำนวน 4,000 ไร่ในทะเลและการสรุปเรื่องความเห็นของประชาชนในพื้นที่เพื่อความสมบูรณ์ในการดำเนินโครงการต่อไป
โดยตามแผนการพัฒนาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือระยะที่ 1 ปี 2556-2561 สร้างความยาวหน้าท่า 750 เมตร รองรับเรือขนาด 70,000 เดตเวตตัน ได้ 2 ลำพร้อมกันหรือเทียบเรือขนาดกลางได้ 3 ลำ มีลานกองตู้สินค้ายาว 750 เมตร สามารถขนถ่ายสินค้าได้ 825,000 ทีอียูต่อปี ระยะที่ 2 ปี 2564-2566 ความยาวหน้าท่า 1,250 เมตร ขนถ่ายสินค้าได้ 1,375,000 ทีอียูต่อปี และระยะที่ 3 ปี 2568-2571 ความยาวหน้าท่า 2,250 เมตร ขนถ่ายสินค้าได้ 2,475,000 ทีอียูต่อปี
"เมื่อพิจารณาสถิติจากปริมาณสินค้าที่ขนส่งสินค้าทางน้ำชายฝั่งทะเลและระหว่างประเทศตั้งแต่ปี 2546-2554 ที่ผ่านมา คือเมื่อปี 2546 การขนส่งระหว่างประเทศ มีปริมาณ 104 ล้านตัน การขนส่งชายฝั่งทะเล 27 ล้านตัน ปี 2553 การขนส่งระหว่างประเทศ มีปริมาณ 130 ล้านตัน การขนส่งชายฝั่งทะเล 29 ล้านตัน และปี 2554 ที่ผ่านมามีปริมาณ 131 ล้านตัน การขนส่งชายฝั่งทะเล 31 ล้านตัน ดังนั้นจะพบว่าปริมาณเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ดังนั้นประเทศไทยจะต้องเร่งเปิดแนวรุกการค้าออกสู่ทางทะเลมากขึ้น"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,715 19-22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555