แสนสิริฯขยับราคาขายคอนโดฯตั้งแต่ ม.ค.แล้ว 8-10% หลังมีสัญญาณชัดค่าแรงใหม่กระทบต่อราคาวัสดุก่อสร้าง จับตาราคาน้ำมันจากปัญหาภายนอกประเทศ ลุยปลุกปั้นแบรนด์"เดอะ เบส" เจาะกลุ่มระดับ C ลูกค้าฐานเงินเดือน50,000 บาท พร้อมเปิดโครงการที่ 2 และ 3 โซนแจ้งวัฒนะ และรามคำแหง เล็งครึ่งปีหลังอีก 2 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท แย้มแบ็กล็อก 23,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ปีนี้ 15,000 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตามที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ว่า ทางบริษัทฯต้องปรับตัวให้รับกับต้นทุนของค่าแรงที่สะท้อนไปยังราคาวัสดุก่อสร้างบางประเภทที่เพิ่มขึ้น โดยในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายได้มีการปรับขึ้นราคาประมาณ 8-10% ไปตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่ยังต้องเฝ้าติดตาม โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก นอกจากนี้แล้ว ประเด็นเรื่องร่างกฎหมายผังเมืองฉบับปรับปรุงที่แม้จะยังไม่มีประกาศใช้ แต่ด้วยข้อกำหนดที่เข้มงวดทำให้โครงการคอนโดฯในซอยอาจจะเกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากผังเมืองกำหนดต้องมีความกว้างของถนนไม่ต่ำกว่า 12 เมตร จึงสามารถลงทุนเปิดโครงการแนวสูงได้ ผลดังกล่าวจะเกิดเป็นโครงการที่ไม่สูงเกิน8 ชั้นแทน
"ระหว่างที่ผังเมืองยังไม่มีการประกาศใช้ก็คิดว่าเอกชนหลายรายคงจะยื่นขอการพัฒนาโครงการ เพื่อรับกับโอกาสในการลงทุน อย่างไรก็ตามผังเมืองดังกล่าว ก็เป็นการตีกรอบการใช้ประโยชน์ของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ แม้ว่าในตอนนี้ระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าจะเกิดขึ้นหลายสาย แต่ความเจริญมักจะไปก่อนระบบสาธารณูปโภค"
นายอุทัยกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาตลาดคอนโดฯ ของแสนสิริว่า จากความสำเร็จของคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์เดอะเบส โครงการแรกในปี 2554 ภายใต้ชื่อโครงการ "เดอะเบสสุขุมวิท 77" ในรูปแบบคอนเซ็ปต์ "ชีวิตสนุกพร้อมสตาร์ท" ที่กลุ่มลูกค้าจะมีไลฟ์สไตล์ของความเป็นคนเมือง ดังนั้น ในปี 55 ทางบริษัทได้รุกพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ดังกล่าว 2 โครงการ ได้แก่ เดอะเบส พระราม 9-รามคำแหง(ที่ตั้งของสำนักงานบริษัทแอมเวย์ฯ) มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท จำนวน 923 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.38-3 ล้านบาท โปรโมชันพิเศษผ่อนเพียง 999 บาทต่อเดือน เปิดให้ชมห้องตัวอย่างที่Sales Gallery ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.เป็นต้นไปและโครงการ เดอะ เบส แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท จำนวน 1,300 ยูนิตราคาเริ่มต้น 1.3 ล้านบาท (เปิดตัวไปเมื่อต้นไตรมาส 4 ปี 54 ) ปัจจุบันมียอดขายไปกว่า60% นอกจากนี้ ในไตรมาส 3-4 จะเปิดแบรนด์ดังกล่าวอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม4,000 ล้านบาท ประมาณ 1,900-2,000 ยูนิต
"การที่ขยับลงมาเล่นตลาดคอนโดฯกลุ่ม C เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีฐานเงินเดือน 50,000 บาทขึ้น ไม่มีผลกระทบต่อแบรนด์แสนสิริใช่ว่าแสนสิริจะอยู่ตลาดคอนโดฯ ระดับบนอย่างเดียว ก่อนหน้านี้ บริษัทพลัสฯเคยทำคอนโดฯระดับนี้มาก่อนแล้ว อีกทั้งเป็นกลุ่มที่เป็นฐานใหญ่ของคนกรุงเทพฯ จะว่าไปแล้วคิดเป็นสัดส่วน 70% ของประชากรที่มีรายได้และมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และจากการศึกษาพบว่า ตลาดคอนโดฯระดับ C มีอัตราเติบโตประมาณ 10% ทั้งนี้ ในการเลือกทำเลของแบรนด์เดอะเบส จะเน้นใกล้แหล่งชุมชนมากๆ ใกล้แรงงาน แหล่งชอปปิ้ง และในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้น เพื่อบริหารต้นทุนที่ดินให้สามารถพัฒนาโครงการได้"
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในแต่ละกลุ่ม ตนจะแบ่งแยกออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม Aทำตลาดบน ราคา 1 แสนบาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) กลุ่ม B ทำตลาดกลาง-บนราคา 70,000-100,000 บาทต่อ ตร.ม. กลุ่ม C ราคา 50,000-70,000 บาทต่อ ตร.ม.และกลุ่มD ราคาขาย 30,000 บาทขึ้นต่อ ตร.ม. เช่นโครงการแบรนด์ดีคอนโด เป็นต้น สำหรับยอดขายที่รอรับรู้รายได้ในส่วนของคอนโดฯณ สิ้นปี 54 มีประมาณ 23,000 ล้านบาทคาดว่าประมาณ 15,000 ล้านบาทจะถูกบันทึกในปี 55 แต่ทั้งนี้ ต้องดูว่าลูกค้าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง จะทิ้งดาวน์หรือไม่เนื่องจากเกิดเหตุมหาอุทกภัย--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตามที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ว่า ทางบริษัทฯต้องปรับตัวให้รับกับต้นทุนของค่าแรงที่สะท้อนไปยังราคาวัสดุก่อสร้างบางประเภทที่เพิ่มขึ้น โดยในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายได้มีการปรับขึ้นราคาประมาณ 8-10% ไปตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่ยังต้องเฝ้าติดตาม โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก นอกจากนี้แล้ว ประเด็นเรื่องร่างกฎหมายผังเมืองฉบับปรับปรุงที่แม้จะยังไม่มีประกาศใช้ แต่ด้วยข้อกำหนดที่เข้มงวดทำให้โครงการคอนโดฯในซอยอาจจะเกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากผังเมืองกำหนดต้องมีความกว้างของถนนไม่ต่ำกว่า 12 เมตร จึงสามารถลงทุนเปิดโครงการแนวสูงได้ ผลดังกล่าวจะเกิดเป็นโครงการที่ไม่สูงเกิน8 ชั้นแทน
"ระหว่างที่ผังเมืองยังไม่มีการประกาศใช้ก็คิดว่าเอกชนหลายรายคงจะยื่นขอการพัฒนาโครงการ เพื่อรับกับโอกาสในการลงทุน อย่างไรก็ตามผังเมืองดังกล่าว ก็เป็นการตีกรอบการใช้ประโยชน์ของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ แม้ว่าในตอนนี้ระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าจะเกิดขึ้นหลายสาย แต่ความเจริญมักจะไปก่อนระบบสาธารณูปโภค"
นายอุทัยกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาตลาดคอนโดฯ ของแสนสิริว่า จากความสำเร็จของคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์เดอะเบส โครงการแรกในปี 2554 ภายใต้ชื่อโครงการ "เดอะเบสสุขุมวิท 77" ในรูปแบบคอนเซ็ปต์ "ชีวิตสนุกพร้อมสตาร์ท" ที่กลุ่มลูกค้าจะมีไลฟ์สไตล์ของความเป็นคนเมือง ดังนั้น ในปี 55 ทางบริษัทได้รุกพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ดังกล่าว 2 โครงการ ได้แก่ เดอะเบส พระราม 9-รามคำแหง(ที่ตั้งของสำนักงานบริษัทแอมเวย์ฯ) มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท จำนวน 923 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.38-3 ล้านบาท โปรโมชันพิเศษผ่อนเพียง 999 บาทต่อเดือน เปิดให้ชมห้องตัวอย่างที่Sales Gallery ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.เป็นต้นไปและโครงการ เดอะ เบส แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท จำนวน 1,300 ยูนิตราคาเริ่มต้น 1.3 ล้านบาท (เปิดตัวไปเมื่อต้นไตรมาส 4 ปี 54 ) ปัจจุบันมียอดขายไปกว่า60% นอกจากนี้ ในไตรมาส 3-4 จะเปิดแบรนด์ดังกล่าวอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม4,000 ล้านบาท ประมาณ 1,900-2,000 ยูนิต
"การที่ขยับลงมาเล่นตลาดคอนโดฯกลุ่ม C เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีฐานเงินเดือน 50,000 บาทขึ้น ไม่มีผลกระทบต่อแบรนด์แสนสิริใช่ว่าแสนสิริจะอยู่ตลาดคอนโดฯ ระดับบนอย่างเดียว ก่อนหน้านี้ บริษัทพลัสฯเคยทำคอนโดฯระดับนี้มาก่อนแล้ว อีกทั้งเป็นกลุ่มที่เป็นฐานใหญ่ของคนกรุงเทพฯ จะว่าไปแล้วคิดเป็นสัดส่วน 70% ของประชากรที่มีรายได้และมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และจากการศึกษาพบว่า ตลาดคอนโดฯระดับ C มีอัตราเติบโตประมาณ 10% ทั้งนี้ ในการเลือกทำเลของแบรนด์เดอะเบส จะเน้นใกล้แหล่งชุมชนมากๆ ใกล้แรงงาน แหล่งชอปปิ้ง และในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้น เพื่อบริหารต้นทุนที่ดินให้สามารถพัฒนาโครงการได้"
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในแต่ละกลุ่ม ตนจะแบ่งแยกออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม Aทำตลาดบน ราคา 1 แสนบาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) กลุ่ม B ทำตลาดกลาง-บนราคา 70,000-100,000 บาทต่อ ตร.ม. กลุ่ม C ราคา 50,000-70,000 บาทต่อ ตร.ม.และกลุ่มD ราคาขาย 30,000 บาทขึ้นต่อ ตร.ม. เช่นโครงการแบรนด์ดีคอนโด เป็นต้น สำหรับยอดขายที่รอรับรู้รายได้ในส่วนของคอนโดฯณ สิ้นปี 54 มีประมาณ 23,000 ล้านบาทคาดว่าประมาณ 15,000 ล้านบาทจะถูกบันทึกในปี 55 แต่ทั้งนี้ ต้องดูว่าลูกค้าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง จะทิ้งดาวน์หรือไม่เนื่องจากเกิดเหตุมหาอุทกภัย--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน