บิ๊กอสังหาฯรับมือความเสี่ยงปี2555 จากเหตุวิตกปัญหาน้ำท่วมซ้ำรอยเร่งปรับแผนรองรับ"แอล.พี.เอ็น." เร่งการก่อสร้างและโอนคอนโดฯ"พฤกษา"เตรียมแผนสำรองพร้อมลดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ด้านเสนา-ศุภาลัยกระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจรีเทลและลุยต่างจังหวัดขณะที่เอสซีชูแผนป้องกันน้ำท่วมเรียกความเชื่อมั่น
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้เป็นเรื่องของปัญหาน้ำท่วมและความกังวลใจต่อปัญหาซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อยจากความล่าช้าของการก่อสร้างโครงการทำให้ปีนี้บริษัทต้องปรับแผนบริหารความเสี่ยงด้วยการเร่งระยะเวลาการก่อสร้างโครงการต่างๆให้เร็วขึ้นซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ถึง50% ของรายได้รวมทั้งปี
นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีการทำธุรกิจด้วยความระมัดระวังและวางแผนรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ได้แก่1.การชะลอแผนการลงทุนในตลาดต่างประเทศ2.การมีวินัยทางการเงินที่เข้มข้นและ3.ลดจำนวนการเปิดโครงการใหม่เนื่องจากในช่วงที่มีปัญหาน้ำท่วมบริษัทประสบปัญหายอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ลดลง ในไตรมาสสุดท้ายหายไปกว่า50% เหลือประมาณ4,700 ล้านบาทจากปกติที่ทำได้เฉลี่ยไตรมาสละ 10,000 ล้านบาทสำหรับตลาดต่างประเทศบริษัทจะชะลอการลงทุนโครงการในเชนไนประเทศอินเดียที่ต้องลงทุนถึง 300 ล้านบาทและยังเลื่อนการเปิดตัวโครงการในเมืองมุมไบที่ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาทไปในช่วงครึ่งปีหลังจากเดิมที่จะเปิดตัวในไตรมาสแรก เพื่อรอดูสถานการณ์
"ในไตรมาสแรกนี้บริษัทเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ น่าจะกลับมาได้แล้ว ซึ่งคงจะเป็นตัวชี้วัดตลาดโดยรวมทั้งปีได้ดีเพราะช่วงครึ่งปีหลังมองว่าฝนคงตกและจะทำให้ผู้บริโภคกังวลใจว่าปัญหาน้ำท่วมจะเกิดซ้ำได้อีกครั้งซึ่งช่วงน้ำท่วมลูกค้ามีการยกเลิกการโอนไปถึง 4,700 ล้านบาทและบริษัทก็ต้องมีการนำเงินไปบริหารจัดการแก้ไขและป้องกันน้ำท่วมส่งผลให้กำไรสุทธิเหลือ 12% แต่ในปีนี้บริษัทน่าจะทำกำไรสุทธิได้ถึง 15-16% เนื่องจากรายได้เติบโตขึ้น 15% และยังมีสิทธิพิเศษทางภาษีรายได้นิติบุคคลที่ลดลงเหลือ 23% และในช่วงไตรมาส2-3 บริษัทมีแผนการออกหุ้นกู้วงเงิน 3,000-5,000 ล้านบาทเพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม"นายสมบูรณ์ กล่าว
ส่วนดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้มองปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อธุรกิจคือเรื่องของภัยธรรมชาติซึ่งบริษัทวางแผนรับมือกับปัญหาน้ำท่วมด้วยการไม่ลงทุนเพิ่มในพื้นที่น้ำท่วมสำหรับโครงการแนวราบแต่พัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯและมีการปรับรูปแบบโครงการด้วยการนำงานระบบไว้ที่ชั้น 2เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากน้ำท่วมในพื้นที่โครงการและหันไปลงทุนพัฒนาโครงการในพื้นที่น้ำไม่ท่วมแทนและในพื้นที่น้ำไม่ท่วมก็มีการปรับรูปแบบการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยจากเดิมที่จะพัฒนาเป็นรูปแบบอื่นพร้อมทั้งมีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ ด้วยการเพิ่มธุรกิจเช่าและการขยายตลาดที่อยู่อาศัยไปในต่างจังหวัดเพิ่มด้วย
"จากการบริหารธุรกิจมา7-8 ปีพบว่ามีความเสี่ยงต่างๆ เกิดขึ้นมาต่อเนื่องทุกปี ที่เป็นปัจจัยภายนอก ทำให้เราต้องตั้งรับกับความเสี่ยงต่างๆ ด้วยการทำบริษัทให้มีความแข็งแรงทั้งด้านวินัยทางการเงิน การบริหารหนี้สินต่อทุน(DE)ให้ต่ำในอัตราประมาณ0.5และการบริหารให้บริษัทมีการเติบโตอย่างช้าๆแต่มั่นคงในแต่ละปีจะเติบโตในอัตรา20% ด้านบริหารการเงินในปีนี้บริษัทก็มีแผนออกหุ้นกู้ขั้นต่ำ 500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส3ด้วยส่วนต้นทุนด้านการก่อสร้างบริษัทก็ล็อกราคาสินค้าบางรายการไว้ได้ตลอดระยะเวลาโครงการบางรายการสามารถล็อกราคาได้ 1 ปี" ดร.เกษรา กล่าว
ด้านนายไตรเตชะตั้งมติธรรมกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้มองความเสี่ยงที่กระทบธุรกิจในเรื่องความเชื่อมั่นของลูกค้าในโครงการแนวราบเป็นหลักส่วนปัญหาราคาวัสดุและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้แนวทางการรับมือในเรื่องต่างๆบริษัทจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นจากแผนการรองรับและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขณะที่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นบริษัทมีการซื้อวัสดุล่วงหน้าและบริหารต้นทุนลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะรุกตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเห็นศักยภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย สิงคโปร์ พม่าและศรีลังกาซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตที่รวดเร็ว โดยปีนี้บริษัทจะส่งทีมงานเข้าไปยังกลุ่มประเทศเหล่านี้เพื่อศึกษาตลาดและแนวทางการเข้าไปลงทุนและยังเปิดตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นโดยเพิ่มการลงทุนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชลบุรี และการขยายธุรกิจค้าปลีกโดยที่อำเภอหาดใหญ่บริษัทจะทำเป็นห้างสรรพสินค้าผสมผสานกับคอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการประมาณ2,000 ล้านบาท บนที่ดิน 8 ไร่ด้วย
นายอรรคพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัทเอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมองปัจจัยลบที่มีต่อธุรกิจอสังหาฯในเรื่องของความเชื่อมั่นและปัญหาค่าแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นที่เป็นปัจจัยลบทางอ้อมที่จะกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบและกระทบต่อค่าก่อสร้างและยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยแผนการรับมือของบริษัทจะเน้นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นด้วยแผนการป้องกันน้ำท่วมอย่างที่ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา นำเสนอให้ลูกค้าเห็น และนำไปสู่การพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป
ส่วนต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น คงจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาดแต่บริษัทคงบริหารและพัฒนารูปแบบบ้านให้เหมาะสมกับกำลังซื้อ ทั้งอาจจะมีขนาดเล็กลง หรือมีราคาที่ผู้ซื้อสามารถยอมรับได้และบริษัทยังมีแผนการกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่องการจัดกิจกรรมการตลาดจะเน้นในพื้นที่โครงการซึ่งบริษัทใช้งบประมาณทำตลาด 3% ของยอดขาย ส่วนการบริหารต้นทุนทางการเงินในปีนี้บริษัทไม่มีแผนการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมเนื่องจากมีกระแสเงินสดและแหล่งเงินทุนที่มีอยู่สามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินได้อย่างเหมาะสม
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 5 - 8 ก.พ. 2555
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้เป็นเรื่องของปัญหาน้ำท่วมและความกังวลใจต่อปัญหาซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อยจากความล่าช้าของการก่อสร้างโครงการทำให้ปีนี้บริษัทต้องปรับแผนบริหารความเสี่ยงด้วยการเร่งระยะเวลาการก่อสร้างโครงการต่างๆให้เร็วขึ้นซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ถึง50% ของรายได้รวมทั้งปี
นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีการทำธุรกิจด้วยความระมัดระวังและวางแผนรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ได้แก่1.การชะลอแผนการลงทุนในตลาดต่างประเทศ2.การมีวินัยทางการเงินที่เข้มข้นและ3.ลดจำนวนการเปิดโครงการใหม่เนื่องจากในช่วงที่มีปัญหาน้ำท่วมบริษัทประสบปัญหายอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ลดลง ในไตรมาสสุดท้ายหายไปกว่า50% เหลือประมาณ4,700 ล้านบาทจากปกติที่ทำได้เฉลี่ยไตรมาสละ 10,000 ล้านบาทสำหรับตลาดต่างประเทศบริษัทจะชะลอการลงทุนโครงการในเชนไนประเทศอินเดียที่ต้องลงทุนถึง 300 ล้านบาทและยังเลื่อนการเปิดตัวโครงการในเมืองมุมไบที่ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาทไปในช่วงครึ่งปีหลังจากเดิมที่จะเปิดตัวในไตรมาสแรก เพื่อรอดูสถานการณ์
"ในไตรมาสแรกนี้บริษัทเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ น่าจะกลับมาได้แล้ว ซึ่งคงจะเป็นตัวชี้วัดตลาดโดยรวมทั้งปีได้ดีเพราะช่วงครึ่งปีหลังมองว่าฝนคงตกและจะทำให้ผู้บริโภคกังวลใจว่าปัญหาน้ำท่วมจะเกิดซ้ำได้อีกครั้งซึ่งช่วงน้ำท่วมลูกค้ามีการยกเลิกการโอนไปถึง 4,700 ล้านบาทและบริษัทก็ต้องมีการนำเงินไปบริหารจัดการแก้ไขและป้องกันน้ำท่วมส่งผลให้กำไรสุทธิเหลือ 12% แต่ในปีนี้บริษัทน่าจะทำกำไรสุทธิได้ถึง 15-16% เนื่องจากรายได้เติบโตขึ้น 15% และยังมีสิทธิพิเศษทางภาษีรายได้นิติบุคคลที่ลดลงเหลือ 23% และในช่วงไตรมาส2-3 บริษัทมีแผนการออกหุ้นกู้วงเงิน 3,000-5,000 ล้านบาทเพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม"นายสมบูรณ์ กล่าว
ส่วนดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้มองปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อธุรกิจคือเรื่องของภัยธรรมชาติซึ่งบริษัทวางแผนรับมือกับปัญหาน้ำท่วมด้วยการไม่ลงทุนเพิ่มในพื้นที่น้ำท่วมสำหรับโครงการแนวราบแต่พัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯและมีการปรับรูปแบบโครงการด้วยการนำงานระบบไว้ที่ชั้น 2เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากน้ำท่วมในพื้นที่โครงการและหันไปลงทุนพัฒนาโครงการในพื้นที่น้ำไม่ท่วมแทนและในพื้นที่น้ำไม่ท่วมก็มีการปรับรูปแบบการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยจากเดิมที่จะพัฒนาเป็นรูปแบบอื่นพร้อมทั้งมีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ ด้วยการเพิ่มธุรกิจเช่าและการขยายตลาดที่อยู่อาศัยไปในต่างจังหวัดเพิ่มด้วย
"จากการบริหารธุรกิจมา7-8 ปีพบว่ามีความเสี่ยงต่างๆ เกิดขึ้นมาต่อเนื่องทุกปี ที่เป็นปัจจัยภายนอก ทำให้เราต้องตั้งรับกับความเสี่ยงต่างๆ ด้วยการทำบริษัทให้มีความแข็งแรงทั้งด้านวินัยทางการเงิน การบริหารหนี้สินต่อทุน(DE)ให้ต่ำในอัตราประมาณ0.5และการบริหารให้บริษัทมีการเติบโตอย่างช้าๆแต่มั่นคงในแต่ละปีจะเติบโตในอัตรา20% ด้านบริหารการเงินในปีนี้บริษัทก็มีแผนออกหุ้นกู้ขั้นต่ำ 500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส3ด้วยส่วนต้นทุนด้านการก่อสร้างบริษัทก็ล็อกราคาสินค้าบางรายการไว้ได้ตลอดระยะเวลาโครงการบางรายการสามารถล็อกราคาได้ 1 ปี" ดร.เกษรา กล่าว
ด้านนายไตรเตชะตั้งมติธรรมกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้มองความเสี่ยงที่กระทบธุรกิจในเรื่องความเชื่อมั่นของลูกค้าในโครงการแนวราบเป็นหลักส่วนปัญหาราคาวัสดุและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้แนวทางการรับมือในเรื่องต่างๆบริษัทจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นจากแผนการรองรับและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขณะที่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นบริษัทมีการซื้อวัสดุล่วงหน้าและบริหารต้นทุนลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะรุกตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเห็นศักยภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย สิงคโปร์ พม่าและศรีลังกาซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตที่รวดเร็ว โดยปีนี้บริษัทจะส่งทีมงานเข้าไปยังกลุ่มประเทศเหล่านี้เพื่อศึกษาตลาดและแนวทางการเข้าไปลงทุนและยังเปิดตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นโดยเพิ่มการลงทุนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชลบุรี และการขยายธุรกิจค้าปลีกโดยที่อำเภอหาดใหญ่บริษัทจะทำเป็นห้างสรรพสินค้าผสมผสานกับคอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการประมาณ2,000 ล้านบาท บนที่ดิน 8 ไร่ด้วย
นายอรรคพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัทเอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมองปัจจัยลบที่มีต่อธุรกิจอสังหาฯในเรื่องของความเชื่อมั่นและปัญหาค่าแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นที่เป็นปัจจัยลบทางอ้อมที่จะกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบและกระทบต่อค่าก่อสร้างและยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยแผนการรับมือของบริษัทจะเน้นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นด้วยแผนการป้องกันน้ำท่วมอย่างที่ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา นำเสนอให้ลูกค้าเห็น และนำไปสู่การพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป
ส่วนต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น คงจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาดแต่บริษัทคงบริหารและพัฒนารูปแบบบ้านให้เหมาะสมกับกำลังซื้อ ทั้งอาจจะมีขนาดเล็กลง หรือมีราคาที่ผู้ซื้อสามารถยอมรับได้และบริษัทยังมีแผนการกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่องการจัดกิจกรรมการตลาดจะเน้นในพื้นที่โครงการซึ่งบริษัทใช้งบประมาณทำตลาด 3% ของยอดขาย ส่วนการบริหารต้นทุนทางการเงินในปีนี้บริษัทไม่มีแผนการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมเนื่องจากมีกระแสเงินสดและแหล่งเงินทุนที่มีอยู่สามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินได้อย่างเหมาะสม
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 5 - 8 ก.พ. 2555