"ชัชชาติ" เล็งชงรมว.คมนาคมเสนอแนวคิดสร้างรถไฟไฮสปีดเทรนยกระดับ ชี้เพื่อความปลอดภัยและแก้ปัญหาด้านอุทกภัย ส่วนผลพลอยได้ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอด 2 ข้างทาง เผยลงทุนเพิ่มบ้าง แต่จะเพิ่มความคุ้มค่าในอนาคต ส่วนคณะกรรมการสรุปรายละเอียดไฮสปีดเทรนลุ้นนายกฯยิ่งลักษณ์ ไฟเขียวก่อนเยือนจีนก.พ.นี้
ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เตรียมนำเสนอนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐบาลพิจารณาถึงการสร้างทางยกระดับควบคู่ไปกับทางระดับดินในโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน)เส้นทางต่างๆ แม้จะลงทุนเพิ่มบ้าง แต่จะส่งผลความคุ้มค่าในระยะยาวอย่างแน่นอนโดยตามแผนกระทรวงคมนาคมจะดำเนินการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 4 สาย จากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่, นครราชสีมา, หัวหิน และระยอง เงินลงทุน 7.8 แสนล้านบาท
"ขณะนี้ยังมีเวลา เพราะอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสม การออกแบบรายละเอียดในแต่ละเส้นทาง เนื่องจากเล็งเห็นว่าจากวิกฤติอุทกภัยที่ผ่านมา สะท้อนถึงการใช้ระบบคมนาคมขนส่งได้เป็นอย่างดี ซึ่งโดยส่วนใหญ่คงต้องสร้างเป็นทางยกระดับ เพื่อความปลอดภัยต่อประชาชนและสัตว์เลี้ยง ทั้งพื้นที่ย่านชุมชนและในจุดต่างๆ นอกจากนั้นยังช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย"
ดร.จุฬา สุขมานพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในเบื้องต้นทราบว่ามีรายชื่อเป็นคณะกรรมการความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนฝ่ายไทย ที่ได้มีการนำเสนอนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เยือนกระทรวงคมนาคมสมัยที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ที่นายกรัฐมนตรีจะลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งเมื่อได้รับแต่งตั้งก็จะต้องมีการเรียกประชุมเพื่อเร่งดำเนินการเรื่องรถไฟความเร็วสูงตามกรอบที่คณะกรรมการได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่ต่อไป
แหล่งข่าวระดับสูงกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีหนี้รัฐวิสาหกิจ (รสก.) ที่นับรวมเป็นหนี้สาธารณะของประเทศปัจจุบันนี้มีทั้งสิ้น 1.06 ล้านล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน 517,000 ล้านบาท และที่รัฐบาลไม่ค้ำประกันอีก 541,000 ล้านบาท โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคมมีหนี้อยู่ในอันดับต้นๆ ประกอบด้วย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 132,000 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) 108,000 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 90,000 ล้านบาท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 84,000 ล้านบาท และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 70,000 ล้านบาท
"หากกระทรวงคมนาคมไม่เร่งแก้ไขปัญหานี้สาธารณะของทั้ง 4 หน่วย หวั่นว่าต่อไปโครงการขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบด้านการกู้เงินตามไปด้วย สิ่งสำคัญที่ต้องดูคือ ความสามารถในการชำระหนี้ โดยตามพ.ร.บ.งบประมาณกำหนดไว้ว่า จะต้องตั้งงบประมาณเพื่อการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่งช่วงที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมมีรายการกู้เงินหลายรายการ เกรงว่าหากในระยะยาวจะมีการกู้ยืมมากขึ้น ภาระการตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้ก็จะมีปัญหาตามมาได้จึงต้องเร่งแก้ปัญหาในประเด็นนี้ควบคู่กันไปด้วย"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,711 5-8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เตรียมนำเสนอนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐบาลพิจารณาถึงการสร้างทางยกระดับควบคู่ไปกับทางระดับดินในโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน)เส้นทางต่างๆ แม้จะลงทุนเพิ่มบ้าง แต่จะส่งผลความคุ้มค่าในระยะยาวอย่างแน่นอนโดยตามแผนกระทรวงคมนาคมจะดำเนินการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 4 สาย จากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่, นครราชสีมา, หัวหิน และระยอง เงินลงทุน 7.8 แสนล้านบาท
"ขณะนี้ยังมีเวลา เพราะอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสม การออกแบบรายละเอียดในแต่ละเส้นทาง เนื่องจากเล็งเห็นว่าจากวิกฤติอุทกภัยที่ผ่านมา สะท้อนถึงการใช้ระบบคมนาคมขนส่งได้เป็นอย่างดี ซึ่งโดยส่วนใหญ่คงต้องสร้างเป็นทางยกระดับ เพื่อความปลอดภัยต่อประชาชนและสัตว์เลี้ยง ทั้งพื้นที่ย่านชุมชนและในจุดต่างๆ นอกจากนั้นยังช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย"
ดร.จุฬา สุขมานพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในเบื้องต้นทราบว่ามีรายชื่อเป็นคณะกรรมการความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนฝ่ายไทย ที่ได้มีการนำเสนอนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เยือนกระทรวงคมนาคมสมัยที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ที่นายกรัฐมนตรีจะลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งเมื่อได้รับแต่งตั้งก็จะต้องมีการเรียกประชุมเพื่อเร่งดำเนินการเรื่องรถไฟความเร็วสูงตามกรอบที่คณะกรรมการได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่ต่อไป
แหล่งข่าวระดับสูงกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีหนี้รัฐวิสาหกิจ (รสก.) ที่นับรวมเป็นหนี้สาธารณะของประเทศปัจจุบันนี้มีทั้งสิ้น 1.06 ล้านล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน 517,000 ล้านบาท และที่รัฐบาลไม่ค้ำประกันอีก 541,000 ล้านบาท โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคมมีหนี้อยู่ในอันดับต้นๆ ประกอบด้วย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 132,000 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) 108,000 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 90,000 ล้านบาท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 84,000 ล้านบาท และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 70,000 ล้านบาท
"หากกระทรวงคมนาคมไม่เร่งแก้ไขปัญหานี้สาธารณะของทั้ง 4 หน่วย หวั่นว่าต่อไปโครงการขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบด้านการกู้เงินตามไปด้วย สิ่งสำคัญที่ต้องดูคือ ความสามารถในการชำระหนี้ โดยตามพ.ร.บ.งบประมาณกำหนดไว้ว่า จะต้องตั้งงบประมาณเพื่อการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่งช่วงที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมมีรายการกู้เงินหลายรายการ เกรงว่าหากในระยะยาวจะมีการกู้ยืมมากขึ้น ภาระการตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้ก็จะมีปัญหาตามมาได้จึงต้องเร่งแก้ปัญหาในประเด็นนี้ควบคู่กันไปด้วย"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,711 5-8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555