10 บิ๊กอสังหาฯ ยังโกยรายได้จากการขายบ้านและคอนโดฯ กว่า 1.11 แสนล้าน แต่กำไรลดลงเล็กน้อย เหตุหมดมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาฯ ผลกระทบน้ำท่วม และต้นทุนเพิ่ม "พฤกษา" ยังครองแชมป์ ทำรายได้สูงสุดอันดับ 1 ส่วนแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ทำกำไรนำโด่งกว่า 5,608.56 ล้าน ทิ้งห่างเบอร์ 2 เท่าตัว
"ฐานเศรษฐกิจ" ได้ทำการสำรวจผลการดำเนินงานในรอบปี 2554 ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว พบว่าผู้ประกอบการ 10 รายใหญ่สามารถทำรายได้รวมจากการดำเนินงาน 111,183.72 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 1.91% จากปี 2553 ที่มีรายได้รวม 109,096.51 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรทำได้รวม 18,146.80 ล้านบาท ลดลงในอัตรา 0.49% จากปี 2553 ที่มีกำไรรวม 18,236.10 ล้านบาท
บริษัทที่ถือว่ามีผลประกอบการทำรายได้รวมสูงสุด ยังคงเป็นบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ด้วยรายได้รวม 23,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากปีก่อนหน้าที่ทำรายได้รวม 23,407 ล้านบาท รองลงมาเป็นบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ทำรายได้รวม 20,680.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.27% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 18,754.95 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ถือว่ามีอัตราการเติบโตด้านรายได้สูงสุด ได้แก่ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ด้วยอัตราการเติบโตที่ 23.86% ซึ่งปี 2554 มีรายได้รวม 12,444.51 ล้านบาท ขณะที่ปี 2553 มีรายได้รวม 10,047.24 ล้านบาท
ด้านอัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ถือว่าเป็นบริษัทที่ทำกำไรสุทธิได้สูงสุด ด้วยมูลค่ากว่า 5,608.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 41.23% ที่ทำกำไรสุทธิได้ 3,971.16 ล้านบาท รองลงมาเป็นบริษัท พฤกษาฯ ที่สามารถทำกำไรสุทธิได้ 2,835 ล้านบาท ลดลงจากปี 2553 ที่ทำกำไรสุทธิ 3,488 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ถือว่ามีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าสูงสุด ยังคงเป็นบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษาฯ กล่าวว่า ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรง แต่บริษัทก็ยังคงรักษาการเติบโตของรายได้ไว้ในเกณฑ์ที่พึงพอใจ เป็นผลจากการบริหารความเสี่ยง และการบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าอัตรากำไรจะลดลงแต่เป็นเพราะปีที่ผ่านมา ไม่มีมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีธุรกิจเฉพาะ และบริษัทยังต้องเสียภาษีนิติบุคคลในอัตรา 30% จากปีก่อนหน้าที่บริษัทได้รับสิทธิพิเศษในการเสียภาษีอัตรา 25% จากการเป็นบริษัทใหม่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2554 เป็นปีที่มีปัจจัยลบจากภายนอกมากระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิในประเทศญี่ปุ่น มาจนวิกฤติการเงินยุโรป ที่ได้ขยายวงกว้างออกไปในหลายประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ อิตาลีและสเปน ซึ่งได้นำไปสู่ผลกระทบในวงกว้าง ก่อให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จนกระทั่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้ประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ติดลบถึง 9% อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่องติดต่อกันได้เป็นปีที่ 4 โดยอัตราส่วนกำไรสุทธิจะได้รับผลกระทบบ้าง ปัจจัยหลักมาจากมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีนิติบุคคลที่หมดอายุลงในปี 2554
ด้านนางบุษบา ดามาพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาวิกฤติอุทกภัยกระทบต่อทุกภาคธุรกิจและบริษัทสามารถทำยอดขายได้ถึง 8,100 ล้านบาท เติบโต 62% จากปี 2553 มีรายได้รวม 7,375 ล้านบาท เติบโตกว่า 11% โดยเป็นรายได้จากการดำเนินงาน 7,354 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,079 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 1.66 บาท
โครงสร้างรายได้ทั้งหมดมาจาก 2 ส่วนธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 โครงการพัฒนาที่พักอาศัย จำนวน 6,526 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2553 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 89% ของรายได้จากการดำเนินงาน และ ส่วนที่ 2 ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า จำนวน 828 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 11% ของรายได้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวม เท่ากับ 18,420 ล้านบาท และ 9,033 ล้านบาทตามลำดับ มูลค่าตามบัญชี เท่ากับ 14.29 บาทต่อหุ้น
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2554 นั้น บริษัทสามารถดำเนินงานซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากการวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่แตกต่างและโดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด รวมทั้งบริษัทมีตลาดที่อยู่อาศัยในทุกระดับ ตั้งแต่ตลาดระดับบน กลาง และล่าง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งเป้าหมายในปีนี้บริษัทคาดการณ์รายได้ไว้ 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายโครงการ 27,000 ล้านบาท และจากรายได้ธุรกิจบริการอีก 1,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ระดับประมาณ 40%
นอกจากนี้ ยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัททั้งหมด 44 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 46,000 ล้านบาท และบริษัท ตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 32,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปี 2554 ที่มียอดขายที่ 21,000 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ และขยายธุรกิจไปยังทำเลต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากขึ้น อาทิ จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ และนครราชสีมาในโซนเขาใหญ่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนโรงงานผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป (precast) ที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี บนเนื้อที่กว่า 45 ไร่ ใช้งบประมาณลงทุนกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือน มีนาคม 2555 นั้น จะส่งผลให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้ดีขึ้นและลดระยะเวลาการก่อสร้างได้สั้นลง มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงปี 2554 ที่ผ่านมา จะมีปัจจัยลบที่กระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก หลายบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ยังคงเติบโตได้ดี เนื่องจากมีความสามารถในด้านการปรับตัวทางธุรกิจ และความสามารถด้านการบริหารจัดการทางธุรกิจ แต่ก็มีหลายบริษัทที่มีผลกระทบที่รายได้ลดลง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่มีโครงการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมช่วงไตรมาสสุดท้าย และส่วนใหญ่อัตราผลกำไรของหลายบริษัทก็เติบโตลดลง ปัจจัยสำคัญมาจากปีที่ผ่านมามาตรการภาษีกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ หมดอายุลง และผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 4-7 มีนาคม พ.ศ. 2555
บริษัทที่ถือว่ามีผลประกอบการทำรายได้รวมสูงสุด ยังคงเป็นบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ด้วยรายได้รวม 23,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากปีก่อนหน้าที่ทำรายได้รวม 23,407 ล้านบาท รองลงมาเป็นบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ทำรายได้รวม 20,680.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.27% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 18,754.95 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ถือว่ามีอัตราการเติบโตด้านรายได้สูงสุด ได้แก่ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ด้วยอัตราการเติบโตที่ 23.86% ซึ่งปี 2554 มีรายได้รวม 12,444.51 ล้านบาท ขณะที่ปี 2553 มีรายได้รวม 10,047.24 ล้านบาท
ด้านอัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ถือว่าเป็นบริษัทที่ทำกำไรสุทธิได้สูงสุด ด้วยมูลค่ากว่า 5,608.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 41.23% ที่ทำกำไรสุทธิได้ 3,971.16 ล้านบาท รองลงมาเป็นบริษัท พฤกษาฯ ที่สามารถทำกำไรสุทธิได้ 2,835 ล้านบาท ลดลงจากปี 2553 ที่ทำกำไรสุทธิ 3,488 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ถือว่ามีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าสูงสุด ยังคงเป็นบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษาฯ กล่าวว่า ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรง แต่บริษัทก็ยังคงรักษาการเติบโตของรายได้ไว้ในเกณฑ์ที่พึงพอใจ เป็นผลจากการบริหารความเสี่ยง และการบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าอัตรากำไรจะลดลงแต่เป็นเพราะปีที่ผ่านมา ไม่มีมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีธุรกิจเฉพาะ และบริษัทยังต้องเสียภาษีนิติบุคคลในอัตรา 30% จากปีก่อนหน้าที่บริษัทได้รับสิทธิพิเศษในการเสียภาษีอัตรา 25% จากการเป็นบริษัทใหม่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2554 เป็นปีที่มีปัจจัยลบจากภายนอกมากระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิในประเทศญี่ปุ่น มาจนวิกฤติการเงินยุโรป ที่ได้ขยายวงกว้างออกไปในหลายประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ อิตาลีและสเปน ซึ่งได้นำไปสู่ผลกระทบในวงกว้าง ก่อให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จนกระทั่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้ประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ติดลบถึง 9% อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่องติดต่อกันได้เป็นปีที่ 4 โดยอัตราส่วนกำไรสุทธิจะได้รับผลกระทบบ้าง ปัจจัยหลักมาจากมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีนิติบุคคลที่หมดอายุลงในปี 2554
ด้านนางบุษบา ดามาพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาวิกฤติอุทกภัยกระทบต่อทุกภาคธุรกิจและบริษัทสามารถทำยอดขายได้ถึง 8,100 ล้านบาท เติบโต 62% จากปี 2553 มีรายได้รวม 7,375 ล้านบาท เติบโตกว่า 11% โดยเป็นรายได้จากการดำเนินงาน 7,354 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,079 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 1.66 บาท
โครงสร้างรายได้ทั้งหมดมาจาก 2 ส่วนธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 โครงการพัฒนาที่พักอาศัย จำนวน 6,526 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2553 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 89% ของรายได้จากการดำเนินงาน และ ส่วนที่ 2 ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า จำนวน 828 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 11% ของรายได้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวม เท่ากับ 18,420 ล้านบาท และ 9,033 ล้านบาทตามลำดับ มูลค่าตามบัญชี เท่ากับ 14.29 บาทต่อหุ้น
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2554 นั้น บริษัทสามารถดำเนินงานซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากการวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่แตกต่างและโดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด รวมทั้งบริษัทมีตลาดที่อยู่อาศัยในทุกระดับ ตั้งแต่ตลาดระดับบน กลาง และล่าง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งเป้าหมายในปีนี้บริษัทคาดการณ์รายได้ไว้ 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายโครงการ 27,000 ล้านบาท และจากรายได้ธุรกิจบริการอีก 1,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ระดับประมาณ 40%
นอกจากนี้ ยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัททั้งหมด 44 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 46,000 ล้านบาท และบริษัท ตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 32,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปี 2554 ที่มียอดขายที่ 21,000 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ และขยายธุรกิจไปยังทำเลต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากขึ้น อาทิ จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ และนครราชสีมาในโซนเขาใหญ่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนโรงงานผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป (precast) ที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี บนเนื้อที่กว่า 45 ไร่ ใช้งบประมาณลงทุนกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือน มีนาคม 2555 นั้น จะส่งผลให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้ดีขึ้นและลดระยะเวลาการก่อสร้างได้สั้นลง มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงปี 2554 ที่ผ่านมา จะมีปัจจัยลบที่กระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก หลายบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ยังคงเติบโตได้ดี เนื่องจากมีความสามารถในด้านการปรับตัวทางธุรกิจ และความสามารถด้านการบริหารจัดการทางธุรกิจ แต่ก็มีหลายบริษัทที่มีผลกระทบที่รายได้ลดลง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่มีโครงการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมช่วงไตรมาสสุดท้าย และส่วนใหญ่อัตราผลกำไรของหลายบริษัทก็เติบโตลดลง ปัจจัยสำคัญมาจากปีที่ผ่านมามาตรการภาษีกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ หมดอายุลง และผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 4-7 มีนาคม พ.ศ. 2555