เอกชนร่อนหนังสือถึง ธปท. ขอผ่อนเกณฑ์คุมเงินกู้ซื้อคอนโดมิเนียมยันตลาดอยู่ในสภาพปกติ ไม่โอเวอร์ซัพพลาย
นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้พิจารณาผ่อนปรนเกณฑ์การคุมสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโดมิเนียม หลังจากที่ ธปท.ได้กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้สำหรับซื้อคอนโดมิเนียมได้ไม่เกิน 90% มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 โดยจะขอขยายเป็น 95%
ก่อนหน้านี้ประมาณปี 2553 ธปท.เห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าอาจจะเกิดปัญหาฟองสบู่ขึ้นได้ โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก และเกิดการซื้อเก็งกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ซื้อสามารถกู้เงินซื้อได้เต็ม 100%
ทั้งนี้ ธปท.จึงได้ประกาศหลักเกณฑ์คุมสินเชื่อ โดยกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value : LTV ratio) สำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทสำหรับสินเชื่อคอนโดมิเนียมกำหนด LTV ที่ 90% มีผลใช้เฉพาะสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำตั้งแต่ 1 ม.ค. 2554 เป็นต้นไป
ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวราบกำหนด LTV ที่ 95% มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2555 แต่ได้ประกาศเลื่อนการบังคับใช้ออกไปอีก 1 ปี เป็นวันที่ 1 ม.ค. 2556 เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมทั้งนี้หากธนาคารต้องการปล่อยสินเชื่อเกินกว่าที่ ธปท.กำหนดไว้ ก็จะต้องมีเงินกองทุนรองรับเพิ่มขึ้น
นายธำรง กล่าวต่ออีกว่า หลังจากบังคับใช้มาเป็นเวลา 1 ปี ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตลาดคอนโดมิเนียมอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีปัญหาสินค้าเกินความต้องการของตลาดและการเก็งกำไรมีสัดส่วนที่น้อยมาก สมาคมจึงเห็นว่าควรจะปรับลดเงื่อนไขลงให้เท่ากับที่อยู่อาศัยแนวราบ คือปล่อยกู้ได้ 95%
ทั้งนี้ การปรับลดหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยลดภาระในการซื้อคอนโดมิเนียมของผู้บริโภคลงได้เนื่องจากเวลานี้ภาระในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคจากการเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ สูงถึง 16% ของราคาบ้านอยู่แล้ว และเห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์ควรจะเป็นมาตรฐานเดียวกับที่อยู่อาศัยแนวราบที่ ธปท.กำหนดให้ปล่อยกู้ได้90% ตั้งแต่เริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.เห็นว่ายังจำเป็นที่จะต้องควบคุมตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป สมาคมได้ขอให้ ธปท.พิจารณาผ่อนปรนเฉพาะคอนโดมิเนียมในราคาต่ำกว่า3 ล้านบาทลงมา เพื่อช่วยลดภาระผู้บริโภคระดับกลางที่ต้องการซื้อจริง
อนึ่ง มีการประเมินกันว่า หลังจากน้ำท่วมใหญ่ ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้นอีกครั้ง โดยคาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ประมาณ 5 หมื่นหน่วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้พิจารณาผ่อนปรนเกณฑ์การคุมสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโดมิเนียม หลังจากที่ ธปท.ได้กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้สำหรับซื้อคอนโดมิเนียมได้ไม่เกิน 90% มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 โดยจะขอขยายเป็น 95%
ก่อนหน้านี้ประมาณปี 2553 ธปท.เห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าอาจจะเกิดปัญหาฟองสบู่ขึ้นได้ โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก และเกิดการซื้อเก็งกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ซื้อสามารถกู้เงินซื้อได้เต็ม 100%
ทั้งนี้ ธปท.จึงได้ประกาศหลักเกณฑ์คุมสินเชื่อ โดยกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value : LTV ratio) สำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทสำหรับสินเชื่อคอนโดมิเนียมกำหนด LTV ที่ 90% มีผลใช้เฉพาะสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำตั้งแต่ 1 ม.ค. 2554 เป็นต้นไป
ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวราบกำหนด LTV ที่ 95% มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2555 แต่ได้ประกาศเลื่อนการบังคับใช้ออกไปอีก 1 ปี เป็นวันที่ 1 ม.ค. 2556 เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมทั้งนี้หากธนาคารต้องการปล่อยสินเชื่อเกินกว่าที่ ธปท.กำหนดไว้ ก็จะต้องมีเงินกองทุนรองรับเพิ่มขึ้น
นายธำรง กล่าวต่ออีกว่า หลังจากบังคับใช้มาเป็นเวลา 1 ปี ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตลาดคอนโดมิเนียมอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีปัญหาสินค้าเกินความต้องการของตลาดและการเก็งกำไรมีสัดส่วนที่น้อยมาก สมาคมจึงเห็นว่าควรจะปรับลดเงื่อนไขลงให้เท่ากับที่อยู่อาศัยแนวราบ คือปล่อยกู้ได้ 95%
ทั้งนี้ การปรับลดหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยลดภาระในการซื้อคอนโดมิเนียมของผู้บริโภคลงได้เนื่องจากเวลานี้ภาระในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคจากการเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ สูงถึง 16% ของราคาบ้านอยู่แล้ว และเห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์ควรจะเป็นมาตรฐานเดียวกับที่อยู่อาศัยแนวราบที่ ธปท.กำหนดให้ปล่อยกู้ได้90% ตั้งแต่เริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.เห็นว่ายังจำเป็นที่จะต้องควบคุมตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป สมาคมได้ขอให้ ธปท.พิจารณาผ่อนปรนเฉพาะคอนโดมิเนียมในราคาต่ำกว่า3 ล้านบาทลงมา เพื่อช่วยลดภาระผู้บริโภคระดับกลางที่ต้องการซื้อจริง
อนึ่ง มีการประเมินกันว่า หลังจากน้ำท่วมใหญ่ ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้นอีกครั้ง โดยคาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ประมาณ 5 หมื่นหน่วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์