เจ้าสัวเจริญขยับแผนลงทุนศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เฟสสอง 7,000 ล้านหลัง กทม.ตั้งแท่นปลดล็อกเลิกคุมความสูงอาคารรอบสวนเบญจกิติเตรียมแผนขยายตัวอาคารศูนย์ประชุม-พื้นที่เชิงพาณิชย์เพิ่มพื้นที่อีก 2เท่าตัวเป็น 50,000-60,000 ตารางเมตร พ่วงรีวิวแผนขึ้นโรงแรมตึกสูงกว่า20-30 ชั้น ขนาด 400-1,000 ห้อง บนพื้นที่ที่เหลือ 10 ไร่เศษ ชงข้อเสนอ"กรมธนารักษ์" เจ้าของกรรมสิทธิ์พื้นที่พิจารณา มี.ค.นี้
แหล่งข่าวจากบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัดผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในกลุ่มทีซีซีแลนด์ธุรกิจของเจ้าสัว "เจริญ สิริวัฒนภักดี" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าหลังจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) อยู่ระหว่างการแก้ไขข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการห้ามก่อสร้างตึกสูงเกิน 23 เมตร (เกิน 5-8 ชั้น)ในพื้นที่บริเวณสวนสาธารณะเบญจกิติที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2547โดยจะยกเลิกการควบคุมความสูงการก่อสร้างอาคารทั้งหมดถือว่าเป็นข่าวดีเพราะจะทำให้โครงการขยายศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในเฟสที่ 2 ที่ชะลอมานานกว่า 10 ปี เนื่องจากติดข้อบัญญัติดังกล่าวสามารถก่อสร้างตึกที่มีความสูงเกินกว่า 8 ชั้น หรือ 23 เมตร ได้และจะทำให้การลงทุนมีความคุ้มค่ามากขึ้น
จากเดิมบริษัทเคยเสนอแผนพัฒนาส่วนต่อขยายศูนย์การประชุมและโรงแรมความสูงกว่า 30 ชั้นใช้งบฯลงทุนกว่า 2,700 ล้านบาทพร้อมตัวเลขผลตอบแทนที่จะจ่ายให้กับกรมธนารักษ์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตลอดอายุสัญญา 25 ปี แต่ภายหลังกทม.ได้ออกข้อบัญญัติควบคุมความสูงพื้นที่บริเวณสวนสาธารณะเบญจกิติจึงต้องชะลอแผนการลงทุนไว้ก่อน เพราะถ้าก่อสร้างตึกสูงได้ไม่เกิน 8 ชั้นจะทำให้มีพื้นที่ใช้สอยลดลง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนโดยภายในเดือนมีนาคมนี้บริษัทได้เตรียมนำเสนอแผนพัฒนาโครงการส่วนต่อขยายใหม่ให้กับกรมธนารักษ์พิจารณา
"เราติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดหลายปีก่อนเคยหารือกับกรมธนารักษ์จะขอใช้พื้นที่โรงงานยาสูบที่อยู่ด้านหลังศูนย์การประชุม แต่ก็ติดที่โรงงานยาสูบยังคงใช้พื้นที่อยู่ล่าสุดพอทราบมาบ้างว่ากรมธนารักษ์กำลังหารือกับกทม.เพื่อขอให้ปลดล็อกเรื่องการควบคุมความสูงอาคารและหากมีการปลดล็อกให้ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเลือกลงทุนก่อสร้างโรงแรมเป็นตึกสูง พร้อม ๆ กับขยายพื้นที่ศูนย์การประชุมและแสดงนิทรรศการจากเดิมที่เราลังเลว่าจะมีโรงแรมด้วยหรือไม่"
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า เหตุผลที่ต้องขยายเพราะตอนนี้งานเอ็กซิบิชั่นประจำหลาย ๆงานที่จัดเป็นประจำทุกปี อาทิ งานคอมมาร์ต งานบุ๊กแฟร์ ฯลฯเริ่มต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายงานถ้าไม่ขยายพื้นที่เพิ่มไว้รองรับก็อาจเสียลูกค้าได้
รายละเอียดแบบโครงการใหม่มี 2 แนวทางที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาคือ1) ขยายเฉพาะพื้นที่ศูนย์การประชุม-แสดงนิทรรศการ และพื้นที่เชิงพาณิชย์สามารถเพิ่มพื้นที่ขายจากปัจจุบัน 22,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น50,000-60,000 ตารางเมตร (รวมพื้นที่เชิงพาณิชย์)
และ 2)ขยายพื้นที่ศูนย์การประชุม-แสดงนิทรรศการ พื้นที่เชิงพาณิชย์พร้อมก่อสร้างโรงแรม แต่ออกแบบโรงแรมไว้หลากหลาย มีความสูงตั้งแต่กว่า20-30 ชั้น จำนวนกว่า 400-1,000 ห้อง
ทั้ง 2แนวทางประเมินว่าจะต้องใช้งบฯลงทุนรวมอยู่ระหว่าง 4,000-7,000 ล้านบาทแบ่งเป็นการลงทุนส่วนพื้นที่ศูนย์การประชุม-แสดงนิทรรศการและพื้นที่เชิงพาณิชย์ประมาณกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท และโรงแรมอีกกว่า1,000 ล้านบาท
ขณะนี้ถือว่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่จะขยายลงทุน เนื่องจากธุรกิจ MICE ได้แก่ Meetings, Incentive, Conference และExhibitions กำลังเติบโตและหากไม่ขยายการลงทุนก็จะทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจเนื่องจากเมืองทองธานีและไบเทคบางนาได้ขยายการลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้
ปัจจุบันโครงการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์มีเนื้อที่ทั้งหมด 53 ไร่ใช้พื้นที่ไปแล้วประมาณ 40 ไร่คงเหลือพื้นที่จะก่อสร้างส่วนต่อขยายอีกประมาณกว่า 10 ไร่รูปแบบการขยายศูนย์ประชุม-นิทรรศการและพื้นที่เชิงพาณิชย์จะก่อสร้างเป็นอาคารหลังใหม่ต่อเชื่อมกับอาคารเดิมสำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์จะเป็นรูปแบบช็อปปิ้งมอลล์ มีพื้นที่ประมาณ5,000-10,000 ตารางเมตร อาทิ ร้านอาหาร กิฟต์ช็อป ฯลฯโดยเตรียมใช้พื้นที่ด้านข้างริมทะเลสาบหรือด้านหน้าของตัวอาคารศูนย์ประชุมในการก่อสร้าง
ขณะเดียวกันอาจปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคารบางส่วนบริเวณด้านหน้าอาคารฝั่งติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งปัจจุบันเปิดเป็นพื้นที่ให้เช่าเป็นธนาคาร ร้านอาหารและร้านกาแฟ ให้เป็นพื้นที่ศูนย์การประชุม-แสดงนิทรรศการด้วยส่วนการพัฒนาโรงแรมจากที่ศึกษาไว้มีความเหมาะสมจะพัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 4ดาว-4 ดาวครึ่ง เพื่อรองรับนักธุรกิจที่มาประชุมสัมมนาโดยเตรียมพื้นที่ด้านหลังอาคารศูนย์การประชุมปัจจุบันซึ่งปัจจุบันเป็นลานจอดรถไว้รองรับ
"หลังจากเสนอกรมธนารักษ์แล้วหากเห็นด้วยก็คงต้องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและถ้าได้รับการอนุมัติก็จะเริ่มการก่อสร้างหลังจากสร้างเสร็จก็ต้องโอนทรัพย์สินให้เป็นของกรมธนารักษ์บริษัทก็ทำสัญญาเช่าสัมปทานบริหารพื้นที่ต่อไป" แหล่งข่าวกล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
แหล่งข่าวจากบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัดผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในกลุ่มทีซีซีแลนด์ธุรกิจของเจ้าสัว "เจริญ สิริวัฒนภักดี" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าหลังจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) อยู่ระหว่างการแก้ไขข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการห้ามก่อสร้างตึกสูงเกิน 23 เมตร (เกิน 5-8 ชั้น)ในพื้นที่บริเวณสวนสาธารณะเบญจกิติที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2547โดยจะยกเลิกการควบคุมความสูงการก่อสร้างอาคารทั้งหมดถือว่าเป็นข่าวดีเพราะจะทำให้โครงการขยายศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในเฟสที่ 2 ที่ชะลอมานานกว่า 10 ปี เนื่องจากติดข้อบัญญัติดังกล่าวสามารถก่อสร้างตึกที่มีความสูงเกินกว่า 8 ชั้น หรือ 23 เมตร ได้และจะทำให้การลงทุนมีความคุ้มค่ามากขึ้น
จากเดิมบริษัทเคยเสนอแผนพัฒนาส่วนต่อขยายศูนย์การประชุมและโรงแรมความสูงกว่า 30 ชั้นใช้งบฯลงทุนกว่า 2,700 ล้านบาทพร้อมตัวเลขผลตอบแทนที่จะจ่ายให้กับกรมธนารักษ์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตลอดอายุสัญญา 25 ปี แต่ภายหลังกทม.ได้ออกข้อบัญญัติควบคุมความสูงพื้นที่บริเวณสวนสาธารณะเบญจกิติจึงต้องชะลอแผนการลงทุนไว้ก่อน เพราะถ้าก่อสร้างตึกสูงได้ไม่เกิน 8 ชั้นจะทำให้มีพื้นที่ใช้สอยลดลง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนโดยภายในเดือนมีนาคมนี้บริษัทได้เตรียมนำเสนอแผนพัฒนาโครงการส่วนต่อขยายใหม่ให้กับกรมธนารักษ์พิจารณา
"เราติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดหลายปีก่อนเคยหารือกับกรมธนารักษ์จะขอใช้พื้นที่โรงงานยาสูบที่อยู่ด้านหลังศูนย์การประชุม แต่ก็ติดที่โรงงานยาสูบยังคงใช้พื้นที่อยู่ล่าสุดพอทราบมาบ้างว่ากรมธนารักษ์กำลังหารือกับกทม.เพื่อขอให้ปลดล็อกเรื่องการควบคุมความสูงอาคารและหากมีการปลดล็อกให้ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเลือกลงทุนก่อสร้างโรงแรมเป็นตึกสูง พร้อม ๆ กับขยายพื้นที่ศูนย์การประชุมและแสดงนิทรรศการจากเดิมที่เราลังเลว่าจะมีโรงแรมด้วยหรือไม่"
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า เหตุผลที่ต้องขยายเพราะตอนนี้งานเอ็กซิบิชั่นประจำหลาย ๆงานที่จัดเป็นประจำทุกปี อาทิ งานคอมมาร์ต งานบุ๊กแฟร์ ฯลฯเริ่มต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายงานถ้าไม่ขยายพื้นที่เพิ่มไว้รองรับก็อาจเสียลูกค้าได้
รายละเอียดแบบโครงการใหม่มี 2 แนวทางที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาคือ1) ขยายเฉพาะพื้นที่ศูนย์การประชุม-แสดงนิทรรศการ และพื้นที่เชิงพาณิชย์สามารถเพิ่มพื้นที่ขายจากปัจจุบัน 22,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น50,000-60,000 ตารางเมตร (รวมพื้นที่เชิงพาณิชย์)
และ 2)ขยายพื้นที่ศูนย์การประชุม-แสดงนิทรรศการ พื้นที่เชิงพาณิชย์พร้อมก่อสร้างโรงแรม แต่ออกแบบโรงแรมไว้หลากหลาย มีความสูงตั้งแต่กว่า20-30 ชั้น จำนวนกว่า 400-1,000 ห้อง
ทั้ง 2แนวทางประเมินว่าจะต้องใช้งบฯลงทุนรวมอยู่ระหว่าง 4,000-7,000 ล้านบาทแบ่งเป็นการลงทุนส่วนพื้นที่ศูนย์การประชุม-แสดงนิทรรศการและพื้นที่เชิงพาณิชย์ประมาณกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท และโรงแรมอีกกว่า1,000 ล้านบาท
ขณะนี้ถือว่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่จะขยายลงทุน เนื่องจากธุรกิจ MICE ได้แก่ Meetings, Incentive, Conference และExhibitions กำลังเติบโตและหากไม่ขยายการลงทุนก็จะทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจเนื่องจากเมืองทองธานีและไบเทคบางนาได้ขยายการลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้
ปัจจุบันโครงการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์มีเนื้อที่ทั้งหมด 53 ไร่ใช้พื้นที่ไปแล้วประมาณ 40 ไร่คงเหลือพื้นที่จะก่อสร้างส่วนต่อขยายอีกประมาณกว่า 10 ไร่รูปแบบการขยายศูนย์ประชุม-นิทรรศการและพื้นที่เชิงพาณิชย์จะก่อสร้างเป็นอาคารหลังใหม่ต่อเชื่อมกับอาคารเดิมสำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์จะเป็นรูปแบบช็อปปิ้งมอลล์ มีพื้นที่ประมาณ5,000-10,000 ตารางเมตร อาทิ ร้านอาหาร กิฟต์ช็อป ฯลฯโดยเตรียมใช้พื้นที่ด้านข้างริมทะเลสาบหรือด้านหน้าของตัวอาคารศูนย์ประชุมในการก่อสร้าง
ขณะเดียวกันอาจปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคารบางส่วนบริเวณด้านหน้าอาคารฝั่งติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งปัจจุบันเปิดเป็นพื้นที่ให้เช่าเป็นธนาคาร ร้านอาหารและร้านกาแฟ ให้เป็นพื้นที่ศูนย์การประชุม-แสดงนิทรรศการด้วยส่วนการพัฒนาโรงแรมจากที่ศึกษาไว้มีความเหมาะสมจะพัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 4ดาว-4 ดาวครึ่ง เพื่อรองรับนักธุรกิจที่มาประชุมสัมมนาโดยเตรียมพื้นที่ด้านหลังอาคารศูนย์การประชุมปัจจุบันซึ่งปัจจุบันเป็นลานจอดรถไว้รองรับ
"หลังจากเสนอกรมธนารักษ์แล้วหากเห็นด้วยก็คงต้องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและถ้าได้รับการอนุมัติก็จะเริ่มการก่อสร้างหลังจากสร้างเสร็จก็ต้องโอนทรัพย์สินให้เป็นของกรมธนารักษ์บริษัทก็ทำสัญญาเช่าสัมปทานบริหารพื้นที่ต่อไป" แหล่งข่าวกล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ