นายปฏิมา จีระแพทย์ กรรมการผู้จัดการ คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า หลังสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ คาดว่าคนไทยก็คงไม่ย้ายที่อยู่อาศัยจากบริเวณเดิม เพราะหากย้อนไปดูน้ำท่วมในปี 2526, 2538 พบว่าคนไทยยังคงอยู่พื้นที่เดิม และด้วยนิสัยที่ลืมง่าย หากไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำในเร็วๆ นี้ คนไทยก็จะลืมเรื่องน้ำท่วมลงไปใน 1-2 ปีข้างหน้า
แต่สิ่งที่จะพบแน่นอน คือภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวอย่างน้อย 6 เดือน คนชะลอการตัดสินใจซื้อบ้าน ใช้เวลานานขึ้น เลือกมากขึ้น เช่น อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมหรือเปล่า โครงการมีระบบป้องกันน้ำท่วมหรือไม่ ส่วนใครที่เพิ่งตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ อาจทิ้งเงินดาวน์ไปเลย เพราะต้องใช้เงินเพื่อซ่อมแซมก่อน
เหตุการณ์นี้ยังอาจทำให้เจ้าของที่ดินหลายราย ตัดสินใจรีบขายที่ดินในทำเลน้ำท่วมออกสู่ตลาด เพราะกลัวว่าหากเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกในเวลาอันใกล้ ราคาอาจจะตกลงไปอีก
"ราคาที่ดินอาจลดลง 20-30% เพื่อให้ขายออกได้" นายปฏิมา กล่าวและว่า แม้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แต่เชื่อว่าทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว ในแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายยังคงขายได้ แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนลักษณะบ้านไปบ้าง เพื่อให้รองรับหากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ส่วนผู้ที่โดนน้ำท่วมจากพื้นที่รอบนอก จะหันมาสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองมากขึ้น และคนส่วนหนึ่งจะหันมาซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยเฉพาะคอนโดเป็นที่พักสำรองด้วย
"ผู้ที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง จะหันมาสนใจคอนโดในเมืองราคา 1-3 ล้านบาท ส่วนผู้ที่มีรายได้ปานกลาง จะสนใจคอนโดราคา 3-10 ล้านบาท ขณะที่ผู้มีรายได้สูงอาจซื้อที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด หรือคอนโดกลางเมืองราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป" นายปฏิมา กล่าวและว่า คอนโดราคากว่า 1 ล้านบาทจะขายดีมาก และคอนโดมือสองก็น่าจะบูม โดยนอกจากเรื่องน้ำท่วมแล้ว ยังมีการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ทำให้นักลงทุนบางกลุ่ม หันมาซื้อคอนโดเก็บไว้ เพื่อเปิดให้ชาวต่างชาติเช่า แต่เชื่อว่าราคาคอนโดจะไม่สูงมาก เพราะตลาดจะเกิดการแข่งขันสูง
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความเปลี่ยนแปลงของลักษณะบ้านหลังน้ำลด ซึ่งในอนาคตจะมีโอกาสได้เห็น อาคารพาณิชย์และทาวน์เฮ้าส์ ที่ชั้นล่างเป็นพื้นที่ว่างเพื่อจอดรถ โดยระบบทุกอย่างย้ายไปอยู่ชั้นบน บ้านในโครงการใหม่ๆ จะถมที่ดินสูงขึ้น ตำแหน่งปลั๊กไฟและสวิตช์ไฟ ก็ต้องย้ายไปไว้ที่สูง ทั้งบ้านเก่าและบ้านใหม่ ต้องปรับปรุงรั้วบ้านให้เป็นคันกั้นน้ำ และปรับปรุงระบบท่อระบายน้ำด้วย
บ้านในพื้นที่น้ำท่วมจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะผู้ประกอบการต้องถมที่ดินให้สูงขึ้น ซึ่งค่าถมที่ดินปกติอยู่ที่ตารางเมตรละ 1,000 บาท ส่งผลให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงขึ้น ราคาบ้านในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมจึงน่าจะสูงกว่าเดิม แทนที่จะลดลง แต่เมื่อตั้งราคาสูงก็อาจมีความเสี่ยงเรื่องการขายไม่ออก เพราะคนบางส่วนก็อาจไม่ต้องการซื้อบ้านในพื้นที่น้ำท่วมอยู่แล้ว
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 15 พ.ย. 2554
แต่สิ่งที่จะพบแน่นอน คือภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวอย่างน้อย 6 เดือน คนชะลอการตัดสินใจซื้อบ้าน ใช้เวลานานขึ้น เลือกมากขึ้น เช่น อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมหรือเปล่า โครงการมีระบบป้องกันน้ำท่วมหรือไม่ ส่วนใครที่เพิ่งตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ อาจทิ้งเงินดาวน์ไปเลย เพราะต้องใช้เงินเพื่อซ่อมแซมก่อน
เหตุการณ์นี้ยังอาจทำให้เจ้าของที่ดินหลายราย ตัดสินใจรีบขายที่ดินในทำเลน้ำท่วมออกสู่ตลาด เพราะกลัวว่าหากเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกในเวลาอันใกล้ ราคาอาจจะตกลงไปอีก
"ราคาที่ดินอาจลดลง 20-30% เพื่อให้ขายออกได้" นายปฏิมา กล่าวและว่า แม้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แต่เชื่อว่าทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว ในแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายยังคงขายได้ แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนลักษณะบ้านไปบ้าง เพื่อให้รองรับหากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ส่วนผู้ที่โดนน้ำท่วมจากพื้นที่รอบนอก จะหันมาสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในเมืองมากขึ้น และคนส่วนหนึ่งจะหันมาซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยเฉพาะคอนโดเป็นที่พักสำรองด้วย
"ผู้ที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง จะหันมาสนใจคอนโดในเมืองราคา 1-3 ล้านบาท ส่วนผู้ที่มีรายได้ปานกลาง จะสนใจคอนโดราคา 3-10 ล้านบาท ขณะที่ผู้มีรายได้สูงอาจซื้อที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด หรือคอนโดกลางเมืองราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป" นายปฏิมา กล่าวและว่า คอนโดราคากว่า 1 ล้านบาทจะขายดีมาก และคอนโดมือสองก็น่าจะบูม โดยนอกจากเรื่องน้ำท่วมแล้ว ยังมีการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ทำให้นักลงทุนบางกลุ่ม หันมาซื้อคอนโดเก็บไว้ เพื่อเปิดให้ชาวต่างชาติเช่า แต่เชื่อว่าราคาคอนโดจะไม่สูงมาก เพราะตลาดจะเกิดการแข่งขันสูง
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความเปลี่ยนแปลงของลักษณะบ้านหลังน้ำลด ซึ่งในอนาคตจะมีโอกาสได้เห็น อาคารพาณิชย์และทาวน์เฮ้าส์ ที่ชั้นล่างเป็นพื้นที่ว่างเพื่อจอดรถ โดยระบบทุกอย่างย้ายไปอยู่ชั้นบน บ้านในโครงการใหม่ๆ จะถมที่ดินสูงขึ้น ตำแหน่งปลั๊กไฟและสวิตช์ไฟ ก็ต้องย้ายไปไว้ที่สูง ทั้งบ้านเก่าและบ้านใหม่ ต้องปรับปรุงรั้วบ้านให้เป็นคันกั้นน้ำ และปรับปรุงระบบท่อระบายน้ำด้วย
บ้านในพื้นที่น้ำท่วมจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะผู้ประกอบการต้องถมที่ดินให้สูงขึ้น ซึ่งค่าถมที่ดินปกติอยู่ที่ตารางเมตรละ 1,000 บาท ส่งผลให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงขึ้น ราคาบ้านในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมจึงน่าจะสูงกว่าเดิม แทนที่จะลดลง แต่เมื่อตั้งราคาสูงก็อาจมีความเสี่ยงเรื่องการขายไม่ออก เพราะคนบางส่วนก็อาจไม่ต้องการซื้อบ้านในพื้นที่น้ำท่วมอยู่แล้ว
จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 15 พ.ย. 2554