ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังจะผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปีแล้ว ซึ่งในปีนี้ความเคลื่อนไหวของธุรกิจดูเหมือนว่าจะมีในด้านลบมากกว่าด้านบวก หากเปรียบเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา ที่ถือได้ว่าเป็นปีทองของธุรกิจอสังหาฯ และหลายฝ่ายก็ได้ประเมินสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม แต่สถานการณ์กลับพลิกผันเลวร้ายกว่าที่คิด เพราะเมื่อช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ก้าวย่างเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี หลายจังหวัดก็ต้องจมอยู่กับน้ำท่วม โดยเฉพาะจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล เจอปัญหาหนักสุดในรอบ 50 ปี ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ อย่างหนักหน่วง เพราะเป็นพื้นที่หลักของตลาดอสังหาฯ เมืองไทย โดยนับตั้งแต่ต้นศักราช 2554 จนถึงวันสิ้นสุดของปี "ฐานเศรษฐกิจ" ประมวลเหตุการณ์สำคัญบางส่วนที่เกิดขึ้นกับรอบปีที่ผ่านไป
++เริ่มใช้LTVคอนโดฯ
จากกระแสความแรงของธุรกิจคอนโดฯ ในปี 2553 ที่มีทั้งยอดซื้อขาย ยอดการเปิดตัวใหม่แซงโครงการแนวราบ ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกิดความกังวลว่าวิกฤติฟองสบู่ในรอบปี 2540 จะย้อนกลับมาหลอนเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง ทางธปท. จึงประกาศเกณฑ์สัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ด้วยสัดส่วน 10% ออกมาคุมโครงการคอนโดฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าได้รับผลที่ดีในด้านการชะลอความร้อนแรงของธุรกิจได้พอสมควร เห็นได้จากผู้ประกอบการหลายรายเปิดตัวโครงการน้อยลง และฝั่งผู้ซื้อก็มีการพิจารณาตัดสินใจซื้อที่นานขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจคอนโดฯ ในปีนี้จะมีหลักเกณฑ์ในเรื่องของแอลทีวีออกมาควบคุม แต่จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นก็ส่งผลให้ตลาดคอนโดฯ เริ่มกลับมาได้รับความสนใจจากผู้ซื้ออีกครั้ง จึงคาดการณ์กันว่าในปี 2555 ธุรกิจคอนโดฯ น่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า และผู้ประกอบการหลายรายคงหันมาให้ความสำคัญกับตลาดนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในบริษัทที่พัฒนาแต่โครงการแนวราบและอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมที่ได้รับผลกระทบหนักในปีนี้
++สินเชื่อบ้าน0%
ช่วงเดือนพฤษภาคมที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการออกนโยบายบ้านหลังแรกด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ที่มีวงเงิน 25,000 ล้านบาท ผ่านทางธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ถือได้ว่าเป็นนโยบายที่ตรงใจประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง เพราะเพียงช่วงระยะเวลาเดือนแรก วงเงินดังกล่าวก็มีผู้สนใจยื่นขอจนวงเงินดังกล่าวหมด โดยมีลูกค้ายื่นกู้ทั้งสิ้น 18,583 ราย วงเงินเฉลี่ยรายละ 1.35 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้า เขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 45% ที่เหลือเป็นลูกค้าในส่วนภูมิภาค อีก 55% ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ที่ต้องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่อยู่อาศัยในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และสร้างโอกาสให้ประชาชนคนไทยมีบ้านเป็นของตนเองให้ได้มากที่สุด
++บ้านหลังแรก "ยิ่งลักษณ์"
ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็มีการดำเนินการในนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ซึ่งนโยบายในส่วนของภาคอสังหาฯ นั้น เป็นนโยบายบ้านหลังแรก ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติออกมาเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไขของนโยบายที่ระบุให้ ผู้ที่ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จะได้คืนภาษี 10% โดยประชาชนผู้ที่จะได้สิทธิ์จะต้องซื้อบ้านของโครงการตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.2554 จนถึงสิ้นปี 2555 และให้หักลดหย่อนภาษีได้เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อให้ครอบคลุมราคาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลในเมืองและกลางเมือง
ในรายละเอียดโครงการ เบื้องต้น กำหนดบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ผู้ซื้อสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อบ้านไปคำนวณหักลดหย่อนภาษีได้ปีละ 1 แสนบาท ในระยะเวลา 5 ปี รวมเป็น 5 แสนบาท และหากซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท ก็จะได้ปีละไม่เกิน 20,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี รวมเป็น 1 แสนบาท ซึ่งก็คือ หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10% ของค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งนโยบายของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ที่ออกมาในครั้งนี้ ไม่ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ซื้อเท่าไรนัก และถูกนำไปเปรียบเทียบกับนโยบายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยออกมาก่อนหน้า เพราะว่าผู้ซื้อไม่ได้รับประโยชน์มากเท่าที่ควรจะเป็น และยังเป็นการดำเนินนโยบายที่ไม่ตรงกับช่วงเวลาได้หาเสียงไว้ก่อนหน้าด้วย จนทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการมาเสริมอีกครั้ง
โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 กันยายน ได้มีมติอนุมัติโครงการบ้านหลังแรก เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ด้วยการกำหนดวงเงินมูลค่าบ้านไม่เกิน 1 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลานาน 3 ปี โดยจะให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นผู้ปล่อยกู้ ซึ่งรัฐบาลจะต้องชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้ 3 ใน 4 ของดอกเบี้ยทั้งหมด หรือประมาณ 300 ล้านบาท ขณะที่มาตรการเดิมก็ได้มีการปรับปรุงใหม่ ด้วยการให้หักภาษีได้โดยตรงจากเงินที่ต้องเสียภาษี ซึ่งเป็นการหักหลังจากที่คำนวณภาษีเสร็จแล้ว ในระยะเวลา 5 ปี ตกปีละไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อให้สิทธิประโยชน์กับผู้ซื้อบ้านได้มากที่สุด
++น้ำท่วมบ้านพักนับล้าน
สถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ ได้เริ่มต้นมาด้วยดี ไม่ได้มีปัจจัยลบมากระทบมากนัก แต่พอจะหมดไตรมาส 3 และเข้าสู่ฤดูการทำยอดขายในไตรมาส 4 จังหวัดสำคัญของตลาดอสังหาฯ อันได้แก่ กรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ธอส.ได้ประเมินความเสียหายที่บ้านจัดสรรในโครงการต่างๆ ในพื้นที่น้ำท่วมต่างๆ มีจำนวนมากถึง 1.7 แสนหลังคาเรือน หากนับรวมกับบ้านของประชาชนทั่วไปที่สร้างเอง ความเสียหายต่อบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจะมากกว่า 1 ล้านหลังคาเรือนเลยทีเดียว
ผลกระทบดังกล่าวจึงทำให้ประเมินกันว่าในปีนี้ ตัวเลขสถิติสำคัญในธุรกิจอสังหาฯ จะลดต่ำลงกว่าปีที่ผ่านมา โดยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล น่าจะมีประมาณ 80,000-90,000 หน่วย จากปีที่ผ่านมามี 107,000 หน่วย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่และบ้านมือสอง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล น่าจะมี 1.34 -1.4 แสนหน่วยจากปีที่ผ่านมามี 1.78 แสนหน่วย ยอดการเปิดตัวโครงการใหม่ น่าจะมี 80,000-85,000 หน่วยจากปีที่ผ่านมาที่มี 1.2 แสนหน่วยทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง
++ "ทองมา"เศรษฐีหุ้น2ปี
แม้ว่าปีนี้ผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมต่อการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ จะมีอย่างหนักหน่วง แม้แต่เบอร์ 1 ของวงการอสังหาฯ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่มี นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ นั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ ก็ไม่ได้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้เช่นกัน เพราะคาดว่าจะมียอดขายและยอดโอนต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ แต่สำหรับทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทย ในปีนี้ที่จัดทำโดยวารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ชื่อของ "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" ยังคงรั้งตำแหน่งแชมป์รวยหุ้นเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าหุ้นรวม 18,520.34 ล้านบาท จากการถือหุ้นพฤกษา ในสัดส่วน 58.66% มูลค่า 18,516.57 ล้านบาท และหุ้น บมจ.ซีพโก้ (SEAFCO) บริษัทรับก่อสร้างงานฐานรากและงานโยธาทั่วไป ในสัดส่วน 0.66% มูลค่า 3.77 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่บริษัท พฤกษาฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 6 ธ.ค. 2548 ราคาหุ้นขณะนั้นอยู่ที่ 6.55 บาท ปีถัดมาเขาก็ก้าวเข้ามาติดอยู่ในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในปี 2549 โดยเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ที่มีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 8,848.33 ล้านบาท และครองตำแหน่งอันดับ 2 ติดต่อกันอีก 3 ปี ในปี 2550 ถือครองหุ้นมูลค่า 11,153.95 ล้านบาท ปี 2551 ถือครองหุ้นมูลค่า 9,599.16 ล้านบาท และปี 2552 ถือครองหุ้นมูลค่า 15,830.43 ล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,700 29-31 ธันวาคม พ.ศ. 2554
++เริ่มใช้LTVคอนโดฯ
จากกระแสความแรงของธุรกิจคอนโดฯ ในปี 2553 ที่มีทั้งยอดซื้อขาย ยอดการเปิดตัวใหม่แซงโครงการแนวราบ ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกิดความกังวลว่าวิกฤติฟองสบู่ในรอบปี 2540 จะย้อนกลับมาหลอนเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง ทางธปท. จึงประกาศเกณฑ์สัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ด้วยสัดส่วน 10% ออกมาคุมโครงการคอนโดฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าได้รับผลที่ดีในด้านการชะลอความร้อนแรงของธุรกิจได้พอสมควร เห็นได้จากผู้ประกอบการหลายรายเปิดตัวโครงการน้อยลง และฝั่งผู้ซื้อก็มีการพิจารณาตัดสินใจซื้อที่นานขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจคอนโดฯ ในปีนี้จะมีหลักเกณฑ์ในเรื่องของแอลทีวีออกมาควบคุม แต่จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นก็ส่งผลให้ตลาดคอนโดฯ เริ่มกลับมาได้รับความสนใจจากผู้ซื้ออีกครั้ง จึงคาดการณ์กันว่าในปี 2555 ธุรกิจคอนโดฯ น่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า และผู้ประกอบการหลายรายคงหันมาให้ความสำคัญกับตลาดนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในบริษัทที่พัฒนาแต่โครงการแนวราบและอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมที่ได้รับผลกระทบหนักในปีนี้
++สินเชื่อบ้าน0%
ช่วงเดือนพฤษภาคมที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการออกนโยบายบ้านหลังแรกด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ที่มีวงเงิน 25,000 ล้านบาท ผ่านทางธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ถือได้ว่าเป็นนโยบายที่ตรงใจประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง เพราะเพียงช่วงระยะเวลาเดือนแรก วงเงินดังกล่าวก็มีผู้สนใจยื่นขอจนวงเงินดังกล่าวหมด โดยมีลูกค้ายื่นกู้ทั้งสิ้น 18,583 ราย วงเงินเฉลี่ยรายละ 1.35 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้า เขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 45% ที่เหลือเป็นลูกค้าในส่วนภูมิภาค อีก 55% ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ที่ต้องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่อยู่อาศัยในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และสร้างโอกาสให้ประชาชนคนไทยมีบ้านเป็นของตนเองให้ได้มากที่สุด
++บ้านหลังแรก "ยิ่งลักษณ์"
ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็มีการดำเนินการในนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ซึ่งนโยบายในส่วนของภาคอสังหาฯ นั้น เป็นนโยบายบ้านหลังแรก ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติออกมาเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไขของนโยบายที่ระบุให้ ผู้ที่ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จะได้คืนภาษี 10% โดยประชาชนผู้ที่จะได้สิทธิ์จะต้องซื้อบ้านของโครงการตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.2554 จนถึงสิ้นปี 2555 และให้หักลดหย่อนภาษีได้เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อให้ครอบคลุมราคาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลในเมืองและกลางเมือง
ในรายละเอียดโครงการ เบื้องต้น กำหนดบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ผู้ซื้อสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อบ้านไปคำนวณหักลดหย่อนภาษีได้ปีละ 1 แสนบาท ในระยะเวลา 5 ปี รวมเป็น 5 แสนบาท และหากซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท ก็จะได้ปีละไม่เกิน 20,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี รวมเป็น 1 แสนบาท ซึ่งก็คือ หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10% ของค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งนโยบายของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ที่ออกมาในครั้งนี้ ไม่ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ซื้อเท่าไรนัก และถูกนำไปเปรียบเทียบกับนโยบายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยออกมาก่อนหน้า เพราะว่าผู้ซื้อไม่ได้รับประโยชน์มากเท่าที่ควรจะเป็น และยังเป็นการดำเนินนโยบายที่ไม่ตรงกับช่วงเวลาได้หาเสียงไว้ก่อนหน้าด้วย จนทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการมาเสริมอีกครั้ง
โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 กันยายน ได้มีมติอนุมัติโครงการบ้านหลังแรก เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ด้วยการกำหนดวงเงินมูลค่าบ้านไม่เกิน 1 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลานาน 3 ปี โดยจะให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นผู้ปล่อยกู้ ซึ่งรัฐบาลจะต้องชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้ 3 ใน 4 ของดอกเบี้ยทั้งหมด หรือประมาณ 300 ล้านบาท ขณะที่มาตรการเดิมก็ได้มีการปรับปรุงใหม่ ด้วยการให้หักภาษีได้โดยตรงจากเงินที่ต้องเสียภาษี ซึ่งเป็นการหักหลังจากที่คำนวณภาษีเสร็จแล้ว ในระยะเวลา 5 ปี ตกปีละไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อให้สิทธิประโยชน์กับผู้ซื้อบ้านได้มากที่สุด
++น้ำท่วมบ้านพักนับล้าน
สถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ ได้เริ่มต้นมาด้วยดี ไม่ได้มีปัจจัยลบมากระทบมากนัก แต่พอจะหมดไตรมาส 3 และเข้าสู่ฤดูการทำยอดขายในไตรมาส 4 จังหวัดสำคัญของตลาดอสังหาฯ อันได้แก่ กรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ธอส.ได้ประเมินความเสียหายที่บ้านจัดสรรในโครงการต่างๆ ในพื้นที่น้ำท่วมต่างๆ มีจำนวนมากถึง 1.7 แสนหลังคาเรือน หากนับรวมกับบ้านของประชาชนทั่วไปที่สร้างเอง ความเสียหายต่อบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจะมากกว่า 1 ล้านหลังคาเรือนเลยทีเดียว
ผลกระทบดังกล่าวจึงทำให้ประเมินกันว่าในปีนี้ ตัวเลขสถิติสำคัญในธุรกิจอสังหาฯ จะลดต่ำลงกว่าปีที่ผ่านมา โดยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล น่าจะมีประมาณ 80,000-90,000 หน่วย จากปีที่ผ่านมามี 107,000 หน่วย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่และบ้านมือสอง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล น่าจะมี 1.34 -1.4 แสนหน่วยจากปีที่ผ่านมามี 1.78 แสนหน่วย ยอดการเปิดตัวโครงการใหม่ น่าจะมี 80,000-85,000 หน่วยจากปีที่ผ่านมาที่มี 1.2 แสนหน่วยทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง
++ "ทองมา"เศรษฐีหุ้น2ปี
แม้ว่าปีนี้ผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมต่อการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ จะมีอย่างหนักหน่วง แม้แต่เบอร์ 1 ของวงการอสังหาฯ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่มี นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ นั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ ก็ไม่ได้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้เช่นกัน เพราะคาดว่าจะมียอดขายและยอดโอนต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ แต่สำหรับทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทย ในปีนี้ที่จัดทำโดยวารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ชื่อของ "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" ยังคงรั้งตำแหน่งแชมป์รวยหุ้นเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าหุ้นรวม 18,520.34 ล้านบาท จากการถือหุ้นพฤกษา ในสัดส่วน 58.66% มูลค่า 18,516.57 ล้านบาท และหุ้น บมจ.ซีพโก้ (SEAFCO) บริษัทรับก่อสร้างงานฐานรากและงานโยธาทั่วไป ในสัดส่วน 0.66% มูลค่า 3.77 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่บริษัท พฤกษาฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 6 ธ.ค. 2548 ราคาหุ้นขณะนั้นอยู่ที่ 6.55 บาท ปีถัดมาเขาก็ก้าวเข้ามาติดอยู่ในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในปี 2549 โดยเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ที่มีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 8,848.33 ล้านบาท และครองตำแหน่งอันดับ 2 ติดต่อกันอีก 3 ปี ในปี 2550 ถือครองหุ้นมูลค่า 11,153.95 ล้านบาท ปี 2551 ถือครองหุ้นมูลค่า 9,599.16 ล้านบาท และปี 2552 ถือครองหุ้นมูลค่า 15,830.43 ล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,700 29-31 ธันวาคม พ.ศ. 2554