
พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก"ชัจจ์" ไล่บี้การรถไฟฯ ดันพื้นที่ 3 แปลงย่านทำเลทอง มักกะสัน-กม.11 (พหลโยธิน) - สถานีแม่น้ำ เร่งเสนอบอร์ดอนุมัติก่อนนำเสนอครม.ไฟเขียว ยันต้องเกิดโดยเร็วเหตุล่าช้ามานาน ผอ.ทรัพย์สินการรถไฟฯเผยผลศึกษาใกล้สรุป
ชี้ทำเลมักกะสันมีความพร้อมที่สุด คาดเปิดประมูลได้ในปี 56 ทุนจีน เกาหลี สิงคโปร์ ดูไบ จมูกไวรุดเข้าขอรายละเอียดแผนพัฒนาที่ดิน
พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าขณะนี้ได้เร่งให้ฝ่ายบริหารทรัพย์สินการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) นำพื้นที่ 3 ทำเล ได้แก่ มักกะสัน สถานีแม่น้ำ(ย่านช่องนนทรี) และพื้นที่ช่วงกิโลเมตรที่ 11ย่านพหลโยธิน ออกเปิดประมูลเพื่อสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯโดยเร็ว เนื่องจากที่ดินทั้ง 3 แปลงมีการศึกษาความเหมาะสมไว้นานแล้ว ประกอบกับ การศึกษาล่าสุดพื้นที่ย่านมักกะสัน เสร็จเรียบร้อย ส่วนอีก 2 ทำเลอยู่ระหว่างการตรวจรับงานงวดสุดท้าย จึงอยากจะเห็นความชัดเจนของการพัฒนาพื้นที่ให้ได้มากที่สุดภายในปีนี้ เพื่อจะนำออกประมูลในปี 2556 ต่อไป
ชี้ทำเลมักกะสันมีความพร้อมที่สุด คาดเปิดประมูลได้ในปี 56 ทุนจีน เกาหลี สิงคโปร์ ดูไบ จมูกไวรุดเข้าขอรายละเอียดแผนพัฒนาที่ดิน
พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าขณะนี้ได้เร่งให้ฝ่ายบริหารทรัพย์สินการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) นำพื้นที่ 3 ทำเล ได้แก่ มักกะสัน สถานีแม่น้ำ(ย่านช่องนนทรี) และพื้นที่ช่วงกิโลเมตรที่ 11ย่านพหลโยธิน ออกเปิดประมูลเพื่อสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯโดยเร็ว เนื่องจากที่ดินทั้ง 3 แปลงมีการศึกษาความเหมาะสมไว้นานแล้ว ประกอบกับ การศึกษาล่าสุดพื้นที่ย่านมักกะสัน เสร็จเรียบร้อย ส่วนอีก 2 ทำเลอยู่ระหว่างการตรวจรับงานงวดสุดท้าย จึงอยากจะเห็นความชัดเจนของการพัฒนาพื้นที่ให้ได้มากที่สุดภายในปีนี้ เพื่อจะนำออกประมูลในปี 2556 ต่อไป
"ทราบว่าผ่านกระบวนการศึกษามานานแล้วจึงต้องเร่งให้แจ้งเกิดโดยเร็ว ขืนปล่อยไว้เฉยๆ ก็คงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ โดยให้ทยอยนำเสนอผู้บริหารและบอร์ดการรถไฟฯเห็นชอบก่อนเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่ออนุมัติให้ดำเนินการเปิดประมูลต่อไป โดยต้องมีการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 และการพิจารณาตามพ.ร.บ.ร่วมทุนให้แล้วเสร็จในครั้งนี้ด้วย"
ด้านนายไพศาล ทรัพย์รุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพย์สิน การรถไฟฯ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการทรัพย์สินของการรถไฟฯได้ตรวจรายงาน และมีความเห็นว่าพื้นที่ที่มีความพร้อมมากที่สุดคือ ทำเลมักกะสัน ดังนั้นแผนขั้นต่อไปคือจะต้องย้ายโรงงานผลิตและซ่อมบำรุงรถจักรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่มักกะสัน ไปที่แก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ยังใช้งานและมีพนักงานประจำอยู่ 1,200 คน โดยการรถไฟฯเตรียมเซ็นสัญญาว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ดำเนินการศึกษา พร้อมประเมินราคาการย้าย และจัดทำทีโออาร์ ระยะเวลา 6 เดือน
อย่างไรก็ตามก่อนนี้การรถไฟฯเคยประเมินราคาการขนย้ายเป็นมูลค่าประมาณ 1หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีรายละเอียดกำกับไว้ชัดเจน ล่าสุดปรับลดเหลือเพียง 5.4พันล้านบาทสำหรับการย้ายโรงงาน สร้างบ้านพักพนักงาน อาคาร โรงพยาบาล การจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ พร้อมกับการจัดทำระบบสาธารณูปโภครองรับเพื่อให้เป็นชุมชนคนรถไฟที่สมบูรณ์แบบจริงๆ จึงต้องนำเสนอครม.ชี้ขาดว่างบประมาณที่จะใช้ในครั้งนี้เป็นความรับผิดชอบของผู้รับเหมาหรือรัฐบาลสนับสนุน
นายจำรูญ ตั้งไพศาลกิจ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พื้นที่มักกะสันมีเนื้อที่ประมาณ 400-500 ไร่ ล่าสุดประเมินมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท หากจะประมูลยกแปลงคงจะยากในการนำเสนอต่อนักลงทุน อาจจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนๆ โดยเห็นว่าการรถไฟฯ ควรลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน แล้ววิเคราะห์สถานการณ์หลาย ๆด้านให้เลือกแทน เช่น เลือกนำออกประมูลเป็นรายแปลงหรือยกทั้งโครงสร้างโดยการรถไฟเป็นผู้เสนอทางเลือก ซึ่งการพิจารณาครั้งล่าสุดมีผู้แทนสศช.ที่เคยทำหน้าที่ในฝ่ายบริหารทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าร่วมด้วยพร้อมเสนอแนะหลาย ๆ แนวทางให้เป็นแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ซึ่งทั้ง 3 แปลงคงต้องเร่งเสนอครม.ประกาศเชิญชวนการลงทุนโดยเร็วต่อไป
สำหรับแนวทางของบริษัทที่ปรึกษานำเสนอ มี 2-3 รูปแบบให้เลือก คือ 1.เปิดประมูลให้เอกชนเข้ารับบริหารจัดการ โดย ร.ฟ.ท.เป็นผู้จัดสร้างอาคาร 2.เอกชนจัดสร้างพร้อมรับบริหารจัดการโดยมอบรายได้ในรูปแบบค่าเช่าต่อปีให้ ร.ฟ.ท. และ 3.ร.ฟ.ท.จัดสร้างพร้อมบริหารจัดการโดยการจัดตั้งหรือมอบหมายให้หน่วยธุรกิจทำหน้าที่บริหารจัดการ โดย ร.ฟ.ท.ได้คัดเลือกวิธีที่ 2 เนื่องจากเห็นว่ามีความเหมาะสมกว่า ส่วนราคาค่าเช่าต่อปีนั้นขึ้นอยู่กับบอร์ดการรถไฟฯจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะจัดเก็บอัตราเท่าใด
"ทราบว่ามีนักลงทุนจากประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และดูไบ สนใจเข้ามาขอทราบรายละเอียดของการพัฒนาพื้นที่แปลงมักกะสัน พื้นที่ย่านพหลโยธินบ้างแล้ว แต่ฝ่ายทรัพย์สินการรถไฟฯขอให้รอความชัดเจนผลการศึกษาและการอนุมัติของบอร์ดอีกครั้ง ซึ่งทุกรายเห็นว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเชิงธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง สิงคโปร์และจีนยังได้ให้ความสนใจที่จะลงทุนด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พื้นที่มักกะสันคอมเพล็กซ์ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากแต่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนคุ้มค่าได้เช่นกัน รวมทั้งสนใจการพัฒนาพื้นที่อื่น ๆ ของการรถไฟฯอีกด้วย"
สำหรับพื้นที่มักกะสันจำนวนประมาณ 500 ไร่ แบ่งเป็น 4 โซน ในโซน A มีพื้นที่ประมาณ 139 ไร่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์เหมาะที่จะพัฒนาเป็นส่วนธุรกิจการค้า- ค้าปลีก ศูนย์ธุรกิจปลอดภาษี อาคารจอดรถ โซน B พื้นที่ 117 ไร่ เหมาะสำหรับพัฒนาเป็นส่วนธุรกิจสำนักงาน ออฟฟิศ อาคารที่พักอาศัย ในรูปแบบอาคารสัญลักษณ์ของเมืองกรุงเทพมหานคร โซน C ขนาด 151 ไร่ จัดเป็นส่วนแสดงสินค้า ศูนย์นิทรรศการ อาคารจอดรถ โรงเรียนนานาชาติ ศูนย์เวชภัณฑ์และศูนย์อาหารโลก และโซน D ขนาด 88 ไร่ จัดเป็นศูนย์กลางแฟชั่น โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารจอดรถ ร้านค้าปลีก และภัตตาคาร โดยพื้นที่มักกะสันแต่ละโซนตามผลการศึกษาคิดเป็นมูลค่าตลาดของทรัพย์สินที่แตกต่างกันไปดังนี้คือ โซน A มีมูลค่า 8,389 ล้านบาท โซน B มูลค่า 7,038 ล้านบาท โซน C มูลค่า 9,084 ล้านบาท และโซน D มูลค่าของทรัพย์สิน 5,314 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 29,826 ล้านบาท ภายใต้ราคาประเมินที่ดิน 150,000-200,000 บาทต่อตารางวาในปัจจุบัน
ด้านโครงการพื้นที่กม. 11 ย่านพหลโยธินประมาณ 359 ไร่ รูปแบบโครงการมีทั้งสปอร์ตคอมเพล็กซ์ที่อยู่ใกล้สถานีกลางบางซื่อและศูนย์พหลโยธิน ประกอบไปด้วยพื้นที่คลับเฮาส์และสนามกอล์ฟทันสมัยครบวงจรที่รายล้อมไปด้วยแหล่งธุรกิจสำคัญ ๆ ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ โดยได้พัฒนาสอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ย่านพหลโยธินและบางซื่อที่แบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของกรุงเทพฯ กลุ่มที่ 2 ศูนย์กลางธุรกิจนานาชาติ กลุ่มที่ 3 พื้นที่ธุรกิจการค้า ศูนย์แสดงนิทรรศการ กลุ่มที่ 4 พื้นที่ผูกพันระยะยาวกับเอกชนและกิจกรรมสถาบันราชการ และกลุ่มที่ 5 สวนสาธารณะ โดยพื้นที่หลักสำหรับการก่อสร้างสปอร์ตคอมเพล็กซ์จะใช้บริเวณคลับเฮาส์เดิม(โซน5) ใกล้สนามไดรฟ์กอล์ฟคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ส่วนโครงการสถานีแม่น้ำบนพื้นที่ 277 ไร่ ย่านคลองเตย-พระราม 3 การรถไฟฯ ต้องการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นย่านเศรษฐกิจแห่งใหม่ในอนาคต แบ่งพื้นที่ออกเป็น 16 แปลง ภายใต้แนวคิดที่จะสร้างเป็นเอ็กซ์พีเรียนซ์ รีเทล หรือกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตที่ยาวที่สุดในภูมิภาคอาเซียนประกอบด้วย โรงแรมหรู ที่พักอาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า แหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนถึงท่าเรือยอชต์ เพื่อรองรับนักธุรกิจต่างชาติและคนไทย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายครบครัน วาดฝันเป็นเวนิซตะวันออก
"พื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์ธุรกิจกลางเมืองที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะมีพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความยาวกว่า 1,400 เมตร สามารถพัฒนาได้หลากหลายรูปแบบและมีการเชื่อมโยงระบบคมนาคมที่สมบูรณ์แบบทั้ง ทางเรือ ทางน้ำ รถไฟ รถบริการสาธารณะที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบในอนาคต ทั้งนี้ผลการศึกษาได้กำหนดพื้นที่พัฒนาไว้ 4 โซนประกอบด้วย 1. พื้นที่ มิกซ์ยูสโซน หรือคอมเพล็กซ์พลาซาในสัดส่วนประมาณ 21% 2. พื้นที่เชิงพาณิชย์ในสัดส่วน 32% 3.พื้นที่อาคารสำนักงานในสัดส่วน 33% และ 4. พื้นที่สำหรับที่พักอาศัยอีก 14% คาดว่าถ้ามีการลงทุนก่อสร้างเต็มโครงการจะต้องใช้งบประมาณถึง 58,386 ล้านบาท (FAR 1:4) การวิเคราะห์ความคุ้มค่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมีมูลค่า 95,054 ล้านบาท ( FAR 1:8)
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
ด้านนายไพศาล ทรัพย์รุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพย์สิน การรถไฟฯ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการทรัพย์สินของการรถไฟฯได้ตรวจรายงาน และมีความเห็นว่าพื้นที่ที่มีความพร้อมมากที่สุดคือ ทำเลมักกะสัน ดังนั้นแผนขั้นต่อไปคือจะต้องย้ายโรงงานผลิตและซ่อมบำรุงรถจักรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่มักกะสัน ไปที่แก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ยังใช้งานและมีพนักงานประจำอยู่ 1,200 คน โดยการรถไฟฯเตรียมเซ็นสัญญาว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ดำเนินการศึกษา พร้อมประเมินราคาการย้าย และจัดทำทีโออาร์ ระยะเวลา 6 เดือน
อย่างไรก็ตามก่อนนี้การรถไฟฯเคยประเมินราคาการขนย้ายเป็นมูลค่าประมาณ 1หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีรายละเอียดกำกับไว้ชัดเจน ล่าสุดปรับลดเหลือเพียง 5.4พันล้านบาทสำหรับการย้ายโรงงาน สร้างบ้านพักพนักงาน อาคาร โรงพยาบาล การจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ พร้อมกับการจัดทำระบบสาธารณูปโภครองรับเพื่อให้เป็นชุมชนคนรถไฟที่สมบูรณ์แบบจริงๆ จึงต้องนำเสนอครม.ชี้ขาดว่างบประมาณที่จะใช้ในครั้งนี้เป็นความรับผิดชอบของผู้รับเหมาหรือรัฐบาลสนับสนุน
นายจำรูญ ตั้งไพศาลกิจ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พื้นที่มักกะสันมีเนื้อที่ประมาณ 400-500 ไร่ ล่าสุดประเมินมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท หากจะประมูลยกแปลงคงจะยากในการนำเสนอต่อนักลงทุน อาจจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนๆ โดยเห็นว่าการรถไฟฯ ควรลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน แล้ววิเคราะห์สถานการณ์หลาย ๆด้านให้เลือกแทน เช่น เลือกนำออกประมูลเป็นรายแปลงหรือยกทั้งโครงสร้างโดยการรถไฟเป็นผู้เสนอทางเลือก ซึ่งการพิจารณาครั้งล่าสุดมีผู้แทนสศช.ที่เคยทำหน้าที่ในฝ่ายบริหารทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าร่วมด้วยพร้อมเสนอแนะหลาย ๆ แนวทางให้เป็นแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ซึ่งทั้ง 3 แปลงคงต้องเร่งเสนอครม.ประกาศเชิญชวนการลงทุนโดยเร็วต่อไป
สำหรับแนวทางของบริษัทที่ปรึกษานำเสนอ มี 2-3 รูปแบบให้เลือก คือ 1.เปิดประมูลให้เอกชนเข้ารับบริหารจัดการ โดย ร.ฟ.ท.เป็นผู้จัดสร้างอาคาร 2.เอกชนจัดสร้างพร้อมรับบริหารจัดการโดยมอบรายได้ในรูปแบบค่าเช่าต่อปีให้ ร.ฟ.ท. และ 3.ร.ฟ.ท.จัดสร้างพร้อมบริหารจัดการโดยการจัดตั้งหรือมอบหมายให้หน่วยธุรกิจทำหน้าที่บริหารจัดการ โดย ร.ฟ.ท.ได้คัดเลือกวิธีที่ 2 เนื่องจากเห็นว่ามีความเหมาะสมกว่า ส่วนราคาค่าเช่าต่อปีนั้นขึ้นอยู่กับบอร์ดการรถไฟฯจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะจัดเก็บอัตราเท่าใด
"ทราบว่ามีนักลงทุนจากประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และดูไบ สนใจเข้ามาขอทราบรายละเอียดของการพัฒนาพื้นที่แปลงมักกะสัน พื้นที่ย่านพหลโยธินบ้างแล้ว แต่ฝ่ายทรัพย์สินการรถไฟฯขอให้รอความชัดเจนผลการศึกษาและการอนุมัติของบอร์ดอีกครั้ง ซึ่งทุกรายเห็นว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเชิงธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง สิงคโปร์และจีนยังได้ให้ความสนใจที่จะลงทุนด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พื้นที่มักกะสันคอมเพล็กซ์ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากแต่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนคุ้มค่าได้เช่นกัน รวมทั้งสนใจการพัฒนาพื้นที่อื่น ๆ ของการรถไฟฯอีกด้วย"
สำหรับพื้นที่มักกะสันจำนวนประมาณ 500 ไร่ แบ่งเป็น 4 โซน ในโซน A มีพื้นที่ประมาณ 139 ไร่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์เหมาะที่จะพัฒนาเป็นส่วนธุรกิจการค้า- ค้าปลีก ศูนย์ธุรกิจปลอดภาษี อาคารจอดรถ โซน B พื้นที่ 117 ไร่ เหมาะสำหรับพัฒนาเป็นส่วนธุรกิจสำนักงาน ออฟฟิศ อาคารที่พักอาศัย ในรูปแบบอาคารสัญลักษณ์ของเมืองกรุงเทพมหานคร โซน C ขนาด 151 ไร่ จัดเป็นส่วนแสดงสินค้า ศูนย์นิทรรศการ อาคารจอดรถ โรงเรียนนานาชาติ ศูนย์เวชภัณฑ์และศูนย์อาหารโลก และโซน D ขนาด 88 ไร่ จัดเป็นศูนย์กลางแฟชั่น โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารจอดรถ ร้านค้าปลีก และภัตตาคาร โดยพื้นที่มักกะสันแต่ละโซนตามผลการศึกษาคิดเป็นมูลค่าตลาดของทรัพย์สินที่แตกต่างกันไปดังนี้คือ โซน A มีมูลค่า 8,389 ล้านบาท โซน B มูลค่า 7,038 ล้านบาท โซน C มูลค่า 9,084 ล้านบาท และโซน D มูลค่าของทรัพย์สิน 5,314 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 29,826 ล้านบาท ภายใต้ราคาประเมินที่ดิน 150,000-200,000 บาทต่อตารางวาในปัจจุบัน
ด้านโครงการพื้นที่กม. 11 ย่านพหลโยธินประมาณ 359 ไร่ รูปแบบโครงการมีทั้งสปอร์ตคอมเพล็กซ์ที่อยู่ใกล้สถานีกลางบางซื่อและศูนย์พหลโยธิน ประกอบไปด้วยพื้นที่คลับเฮาส์และสนามกอล์ฟทันสมัยครบวงจรที่รายล้อมไปด้วยแหล่งธุรกิจสำคัญ ๆ ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ โดยได้พัฒนาสอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ย่านพหลโยธินและบางซื่อที่แบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของกรุงเทพฯ กลุ่มที่ 2 ศูนย์กลางธุรกิจนานาชาติ กลุ่มที่ 3 พื้นที่ธุรกิจการค้า ศูนย์แสดงนิทรรศการ กลุ่มที่ 4 พื้นที่ผูกพันระยะยาวกับเอกชนและกิจกรรมสถาบันราชการ และกลุ่มที่ 5 สวนสาธารณะ โดยพื้นที่หลักสำหรับการก่อสร้างสปอร์ตคอมเพล็กซ์จะใช้บริเวณคลับเฮาส์เดิม(โซน5) ใกล้สนามไดรฟ์กอล์ฟคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ส่วนโครงการสถานีแม่น้ำบนพื้นที่ 277 ไร่ ย่านคลองเตย-พระราม 3 การรถไฟฯ ต้องการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นย่านเศรษฐกิจแห่งใหม่ในอนาคต แบ่งพื้นที่ออกเป็น 16 แปลง ภายใต้แนวคิดที่จะสร้างเป็นเอ็กซ์พีเรียนซ์ รีเทล หรือกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตที่ยาวที่สุดในภูมิภาคอาเซียนประกอบด้วย โรงแรมหรู ที่พักอาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า แหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนถึงท่าเรือยอชต์ เพื่อรองรับนักธุรกิจต่างชาติและคนไทย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายครบครัน วาดฝันเป็นเวนิซตะวันออก
"พื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์ธุรกิจกลางเมืองที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะมีพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความยาวกว่า 1,400 เมตร สามารถพัฒนาได้หลากหลายรูปแบบและมีการเชื่อมโยงระบบคมนาคมที่สมบูรณ์แบบทั้ง ทางเรือ ทางน้ำ รถไฟ รถบริการสาธารณะที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบในอนาคต ทั้งนี้ผลการศึกษาได้กำหนดพื้นที่พัฒนาไว้ 4 โซนประกอบด้วย 1. พื้นที่ มิกซ์ยูสโซน หรือคอมเพล็กซ์พลาซาในสัดส่วนประมาณ 21% 2. พื้นที่เชิงพาณิชย์ในสัดส่วน 32% 3.พื้นที่อาคารสำนักงานในสัดส่วน 33% และ 4. พื้นที่สำหรับที่พักอาศัยอีก 14% คาดว่าถ้ามีการลงทุนก่อสร้างเต็มโครงการจะต้องใช้งบประมาณถึง 58,386 ล้านบาท (FAR 1:4) การวิเคราะห์ความคุ้มค่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมีมูลค่า 95,054 ล้านบาท ( FAR 1:8)
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ