"กลุ่มสยามกลการ" รุกธุรกิจสายกอล์ฟ ทุ่มกว่า 1,315 ล้านบาท เปิดสนามใหม่ สยามคันทรีคลับ พัทยา วอเตอร์ไซด์ ออกแบบโดย IMG Golf Course Design เปิดบริการพฤษภาคมนี้ "พรเทพ" มั่นใจธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตมาก เหตุสนามกอล์ฟระดับมาตรฐานสากลในไทยมีไม่มาก คาดรายได้ 3 สนามโตปีละ 15-20%
ดร.พรเทพ พรประภา ประธานกรรมการ บริษัท ทองถาวรพัฒนา จำกัด กลุ่มสยามกลการ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทหันมาขยายธุรกิจสายกอล์ฟมากขึ้น หลังจากธุรกิจสนามกอล์ฟภายใต้ชื่อ สยามคันทรีคลับ ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นที่รู้จักในหมู่บรรดานักกอล์ฟทั้งชาวไทย และต่างประเทศ จากการได้รับเลือกให้เป็นสนามจัดการแข่งขันกอล์ฟสตรีระดับโลกรายการ HONDA LPGA THAILAND ตั้งแต่ปี 2550-2557 ติดต่อกัน 7 ปี ทำให้ชื่อเสียงสยามคันทรีคลับ และประเทศไทย เป็นที่รู้จักกันดีถูกเผยแพร่เรื่องกีฬากอล์ฟที่มีมาตรฐานสากล จนได้รับการยกย่องจากสถาบันต่างๆ ทั่วโลก
ดังนั้นในปี 2555 จึงได้สร้างสนามกอล์ฟแห่งที่ 3 ชื่อ Siam Country Club Pattaya Waterside เพิ่มอีก1 สนามในระดับ CHAMPIONSHIP COURSE มูลค่า 1,315 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 550 ล้านบาท ค่าที่ดิน765 ล้านบาท เพื่อสามารถรองรับการแข่งขันกอล์ฟทุกแมตช์ในระดับสากล เน้นทิวทัศน์บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ สวยงาม โดยการออกแบบสนามได้เลือก IMG Golf Course Design บริษัทในเครือของ IMG ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ในวงการกีฬาระดับต้นๆ ของโลก เป็นผู้ออกแบบ
"ในอนาคตวางแผนจะมีสนามฝึกซ้อมในพื้นที่ใกล้เคียงกัน มีโครงการสร้างโรงแรมที่พัก สถาบันวิชาการกีฬากอล์ฟ และกีฬาอื่นๆ รวมถึงโครงการพัฒนาธุรกิจอีกหลายรูปแบบเพิ่มช่องทางในการขยายธุรกิจสู่เป้าหมายที่วางไว้"
สำหรับธุรกิจสนามกอล์ฟเริ่มขึ้นในปี 2547 โดยกลุ่มสยามกลการมีแนวความคิดต้องการพัฒนาที่ดินของกลุ่มที่อยู่ในเมืองพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ผืนเดียวกันขนาด 6,000 ไร่ เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองพัทยา ทั้งเรื่องของการท่องเที่ยว การเจริญเติบโตของนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในอีสเทิร์นซีบอร์ด การปรับปรุงเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดชลบุรี และสนามบินสุวรรณภูมิ จึงได้สร้างสนามกอล์ฟที่ได้มาตรฐานระดับสากลขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2549 ได้ปรับปรุงสนามกอล์ฟเดิม Old Course และเปลี่ยนชื่อเป็น Siam Country Club Pattaya Old Course ขนาด 18 หลุม บรรยากาศอยู่ในหุบเขาท้าทาย เปิดบริการเมื่อปี 2550 พร้อมกับดำเนินการก่อสร้างสนาม Plantation ควบคู่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งสนามกอล์ฟ แห่งที่ 2 เปิดบริการเมื่อปี 2551 ใช้ชื่อว่า Siam Country Club Pattaya Plantation สามารถมองเห็นวิวแบบ Panorama View ขนาด 27 หลุม
ดร.พรเทพกล่าวอีกว่า เดิมสนามกอล์ฟ สนามคันทรีคลับทั้ง 2 สนาม สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยสนามละกว่า200 ล้านบาทต่อปี เมื่อสนามที่ 3 เปิดให้บริการ คาดว่าอัตราการเติบโตด้านรายได้เฉลี่ยปีละ 15-20% ทั้งนี้ธุรกิจสนามกอล์ฟคู่แข่งมีไม่มาก โอกาสที่จะเติบโตจึงมีมาก เฉพาะในเมืองพัทยามีสนามกอล์ฟรวม 18 สนาม และระยองอีก4 สนาม แต่สยามคันทรีคลับเน้นลูกค้าไฮเอนด์ เป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในเขตนิคมอุตสาหกรรม และจากกรุงเทพฯ ประมาณ 70% ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าคนไทย ปัจจุบันมีลูกค้ามากกว่า 180 สมาชิก ทั้งนี้อัตราค่าสมาชิก ประเภทบุคคล9 หมื่นบาทต่อคนต่อปี ประเภทองค์กร 2.1 แสนบาทต่อปี โดยได้สิทธิ์ 3 สิทธิ์
สำหรับธุรกิจสนามกอล์ฟในไทยจากการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลโดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ณ สิ้นปี 2556 มีสนามกอล์ฟอยู่ทั่วประเทศไทยรวมทั้งหมด 252 สนาม อยู่ใน 65 จังหวัด โดยมีเพียง 12 จังหวัดที่ไม่มีสนามกอล์ฟเลย
จากจำนวนสนามกอล์ฟทั้งหมด อยู่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 53 สนาม ในภาคกลาง 61 สนาม ในภาคตะวันออก 30 สนาม ในภาคเหนือ 38 สนาม ในภาคอีสาน 42 สนาม และในภาคใต้ 28 สนาม โดยจังหวัดที่มีสนามกอล์ฟมากที่สุดในประเทศไทยคือชลบุรี จังหวัดเดียวมีถึง 20 สนาม อยู่ในอำเภอศรีราชา 8 สนาม อำเภอบางละมุง 5 สนาม อำเภอบ้านบึง 3 สนาม อำเภอเมือง 2 สนาม ที่เหลืออยู่ในอำเภอสัตหีบและอำเภอบ่อทอง
สำหรับจังหวัดชลบุรีมีสนามที่มีชื่อเสียงใช้แข่งขันระดับโลกทุกปี คือ สยามคันทรีคลับ ซึ่งใช้แข่งขันกอล์ฟหญิงรายการใหญ่ของ Ladies Professional Golfers Association (LPGA) ตอนต้นปี และสนามอมตะสปริง ซึ่งใช้แข่งขันกอล์ฟชายหลายรายการ
จังหวัดที่มีสนามกอล์ฟมากรองลงมาคือกรุงเทพฯ มี 17 สนาม ส่วนใหญ่อยู่ในเขตรอบนอกชานเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ แต่ที่อยู่ในใจกลางเมืองก็มี เช่น สนามราชกรีฑาสโมสร สโมสรกอล์ฟดุสิต จังหวัดปทุมธานีมี 13สนาม อยู่ในอำเภอเมือง 6 สนาม อำเภอลำลูกกา 3 สนาม อำเภอคลองหลวง 2 สนาม ที่เหลืออยู่ในอำเภอธัญบุรีและอำเภอหนองเสือ จังหวัดกาญจนบุรี มีสนามกอล์ฟ 12 สนาม
นอกจากนี้จังหวัดสมุทรปราการ เชียงใหม่ และนครราชสีมา มีสนามกอล์ฟจังหวัดละ 11 สนาม โดยสนามกอล์ฟในนครราชสีมาอยู่ในบริเวณเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง มากถึง 7 สนาม อำเภอเมือง 2 สนาม ที่เหลืออยู่ในอำเภอสีคิ้วและอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครปฐมมี 8 สนาม เช่นเดียวกับประจวบคีรีขันธ์ (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอหัวหิน) จังหวัดฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา ขอนแก่น ระยอง สงขลา และเพชรบุรี (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอชะอำ) มีสนามกอล์ฟจังหวัดละ 7 สนาม ดังนั้นพื้นที่รอยต่ออำเภอหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ กับอำเภอชะอำ เพชรบุรี จึงมีสนามกอล์ฟรวมกันจำนวนมาก
จังหวัดภูเก็ตและนครนายกมีจังหวัดละ 6 สนาม รองลงมาคือจังหวัดเชียงรายมี 5 สนาม จังหวัดซึ่งมีสนามกอล์ฟ 4 สนาม มี 3 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี อุดรธานี อุบลราชธานี จังหวัดซึ่งมีสนามกอล์ฟ 3 สนาม มี 6 จังหวัด และจังหวัดซึ่งมีสนามกอล์ฟ 2 สนาม มี 14 จังหวัด อีก 24 จังหวัดมีสนามกอล์ฟจังหวัดละ 1 สนาม
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
ดังนั้นในปี 2555 จึงได้สร้างสนามกอล์ฟแห่งที่ 3 ชื่อ Siam Country Club Pattaya Waterside เพิ่มอีก1 สนามในระดับ CHAMPIONSHIP COURSE มูลค่า 1,315 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 550 ล้านบาท ค่าที่ดิน765 ล้านบาท เพื่อสามารถรองรับการแข่งขันกอล์ฟทุกแมตช์ในระดับสากล เน้นทิวทัศน์บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ สวยงาม โดยการออกแบบสนามได้เลือก IMG Golf Course Design บริษัทในเครือของ IMG ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ในวงการกีฬาระดับต้นๆ ของโลก เป็นผู้ออกแบบ
"ในอนาคตวางแผนจะมีสนามฝึกซ้อมในพื้นที่ใกล้เคียงกัน มีโครงการสร้างโรงแรมที่พัก สถาบันวิชาการกีฬากอล์ฟ และกีฬาอื่นๆ รวมถึงโครงการพัฒนาธุรกิจอีกหลายรูปแบบเพิ่มช่องทางในการขยายธุรกิจสู่เป้าหมายที่วางไว้"
สำหรับธุรกิจสนามกอล์ฟเริ่มขึ้นในปี 2547 โดยกลุ่มสยามกลการมีแนวความคิดต้องการพัฒนาที่ดินของกลุ่มที่อยู่ในเมืองพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ผืนเดียวกันขนาด 6,000 ไร่ เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองพัทยา ทั้งเรื่องของการท่องเที่ยว การเจริญเติบโตของนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในอีสเทิร์นซีบอร์ด การปรับปรุงเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดชลบุรี และสนามบินสุวรรณภูมิ จึงได้สร้างสนามกอล์ฟที่ได้มาตรฐานระดับสากลขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2549 ได้ปรับปรุงสนามกอล์ฟเดิม Old Course และเปลี่ยนชื่อเป็น Siam Country Club Pattaya Old Course ขนาด 18 หลุม บรรยากาศอยู่ในหุบเขาท้าทาย เปิดบริการเมื่อปี 2550 พร้อมกับดำเนินการก่อสร้างสนาม Plantation ควบคู่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งสนามกอล์ฟ แห่งที่ 2 เปิดบริการเมื่อปี 2551 ใช้ชื่อว่า Siam Country Club Pattaya Plantation สามารถมองเห็นวิวแบบ Panorama View ขนาด 27 หลุม
ดร.พรเทพกล่าวอีกว่า เดิมสนามกอล์ฟ สนามคันทรีคลับทั้ง 2 สนาม สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยสนามละกว่า200 ล้านบาทต่อปี เมื่อสนามที่ 3 เปิดให้บริการ คาดว่าอัตราการเติบโตด้านรายได้เฉลี่ยปีละ 15-20% ทั้งนี้ธุรกิจสนามกอล์ฟคู่แข่งมีไม่มาก โอกาสที่จะเติบโตจึงมีมาก เฉพาะในเมืองพัทยามีสนามกอล์ฟรวม 18 สนาม และระยองอีก4 สนาม แต่สยามคันทรีคลับเน้นลูกค้าไฮเอนด์ เป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในเขตนิคมอุตสาหกรรม และจากกรุงเทพฯ ประมาณ 70% ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าคนไทย ปัจจุบันมีลูกค้ามากกว่า 180 สมาชิก ทั้งนี้อัตราค่าสมาชิก ประเภทบุคคล9 หมื่นบาทต่อคนต่อปี ประเภทองค์กร 2.1 แสนบาทต่อปี โดยได้สิทธิ์ 3 สิทธิ์
สำหรับธุรกิจสนามกอล์ฟในไทยจากการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลโดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ณ สิ้นปี 2556 มีสนามกอล์ฟอยู่ทั่วประเทศไทยรวมทั้งหมด 252 สนาม อยู่ใน 65 จังหวัด โดยมีเพียง 12 จังหวัดที่ไม่มีสนามกอล์ฟเลย
จากจำนวนสนามกอล์ฟทั้งหมด อยู่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 53 สนาม ในภาคกลาง 61 สนาม ในภาคตะวันออก 30 สนาม ในภาคเหนือ 38 สนาม ในภาคอีสาน 42 สนาม และในภาคใต้ 28 สนาม โดยจังหวัดที่มีสนามกอล์ฟมากที่สุดในประเทศไทยคือชลบุรี จังหวัดเดียวมีถึง 20 สนาม อยู่ในอำเภอศรีราชา 8 สนาม อำเภอบางละมุง 5 สนาม อำเภอบ้านบึง 3 สนาม อำเภอเมือง 2 สนาม ที่เหลืออยู่ในอำเภอสัตหีบและอำเภอบ่อทอง
สำหรับจังหวัดชลบุรีมีสนามที่มีชื่อเสียงใช้แข่งขันระดับโลกทุกปี คือ สยามคันทรีคลับ ซึ่งใช้แข่งขันกอล์ฟหญิงรายการใหญ่ของ Ladies Professional Golfers Association (LPGA) ตอนต้นปี และสนามอมตะสปริง ซึ่งใช้แข่งขันกอล์ฟชายหลายรายการ
จังหวัดที่มีสนามกอล์ฟมากรองลงมาคือกรุงเทพฯ มี 17 สนาม ส่วนใหญ่อยู่ในเขตรอบนอกชานเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ แต่ที่อยู่ในใจกลางเมืองก็มี เช่น สนามราชกรีฑาสโมสร สโมสรกอล์ฟดุสิต จังหวัดปทุมธานีมี 13สนาม อยู่ในอำเภอเมือง 6 สนาม อำเภอลำลูกกา 3 สนาม อำเภอคลองหลวง 2 สนาม ที่เหลืออยู่ในอำเภอธัญบุรีและอำเภอหนองเสือ จังหวัดกาญจนบุรี มีสนามกอล์ฟ 12 สนาม
นอกจากนี้จังหวัดสมุทรปราการ เชียงใหม่ และนครราชสีมา มีสนามกอล์ฟจังหวัดละ 11 สนาม โดยสนามกอล์ฟในนครราชสีมาอยู่ในบริเวณเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง มากถึง 7 สนาม อำเภอเมือง 2 สนาม ที่เหลืออยู่ในอำเภอสีคิ้วและอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครปฐมมี 8 สนาม เช่นเดียวกับประจวบคีรีขันธ์ (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอหัวหิน) จังหวัดฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา ขอนแก่น ระยอง สงขลา และเพชรบุรี (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอชะอำ) มีสนามกอล์ฟจังหวัดละ 7 สนาม ดังนั้นพื้นที่รอยต่ออำเภอหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ กับอำเภอชะอำ เพชรบุรี จึงมีสนามกอล์ฟรวมกันจำนวนมาก
จังหวัดภูเก็ตและนครนายกมีจังหวัดละ 6 สนาม รองลงมาคือจังหวัดเชียงรายมี 5 สนาม จังหวัดซึ่งมีสนามกอล์ฟ 4 สนาม มี 3 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี อุดรธานี อุบลราชธานี จังหวัดซึ่งมีสนามกอล์ฟ 3 สนาม มี 6 จังหวัด และจังหวัดซึ่งมีสนามกอล์ฟ 2 สนาม มี 14 จังหวัด อีก 24 จังหวัดมีสนามกอล์ฟจังหวัดละ 1 สนาม
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ