แจ้งวัฒนะ : กรมที่ดินแจงร่าง พ.ร.บ.จัดสรรที่ดินคืบหน้าหลังกฤษฎีกาตรวจร่างแล้ว ชง ครม. พิจารณาก่อนบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป เผยเปิดช่องให้ผู้ประกอบการจัดสรรพ้นหน้าที่ดูแลสาธารณูปโภค ขณะที่ผู้ซื้อจัดตั้งนิติบุคคลฯดูแลทรัพย์ส่วนกลาง ย้ำห้ามโอนพร้อมกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ซื้อโดยตรง
นายสุชาติ ดอกไม้เพ็ง ผู้อำนวยการส่วนมาตรฐานการจัดสรรที่ดิน กรมที่ดิน เปิดเผยถึงความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่…) พ.ศ. … ว่าขณะนี้ร่างดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาตรวจร่างจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ทั้งนี้ ได้นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อผ่านความเห็นชอบแล้วจึงนำเสนอสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ร่างที่เสนอไปมีสาระสำคัญ เช่น การกำหนดให้มีการจดแจ้งสาธารณูปโภคหรือใช้เพื่อบริการสาธารณะในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรังรองการทำประโยชน์ การกำหนดให้ผู้รับโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคหรือใช้เพื่อบริการสาธารณะต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดิน เป็นต้น
สำหรับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อร่าง พ.ร.บ.จัดสรรฯมีรายละเอียด เช่น 1.การแก้ไขชื่อตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางและคณะกรรมการจัดสรรที่ดินให้เป็นไปตามตำแหน่งที่กำหนดในกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน โดยเพิ่มเติมให้อธิบดีกรมที่ดินแต่งตั้งข้าราชการกรมที่ดินจำนวนไม่เกิน 2 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง
2.แก้ไขเพิ่มเติมร่างเดิมมาตรา 6 (เพิ่มมาตรา 41/1) จากเดิมที่กำหนดให้ผู้รับโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคหรือที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินที่มีต่อผู้ซื้อที่ดินจัดสรร เป็นการกำหนดห้ามโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคเว้นแต่เป็นการโอนตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินและกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคเป็นที่ดินซึ่งผู้ซื้อที่ดินจัดสรรต้องใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงไม่ควรให้มีการโอนที่ดินเป็นสาธารณะ
3.ตัดความที่เพิ่มในมาตรา 44 (1) ที่กำหนดให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนแปลงย่อยตามแผนผังโครงการประสงค์จะจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรเพื่อทำหน้าที่บำรุงรักษาสาธารณูปโภค โดยให้แจ้งไปยังผู้จัดสรรที่ดินออกเนื่องจากผู้จัดสรรที่ดินประสงค์จะพ้นจากหน้าที่บำรุงรักษาสาธารณูปโภคตามมาตรา 43 แล้ว ดังนั้น แม้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรมีความพร้อมในการจัดตั้งนิติบุคคลฯแต่ก็ยังไม่สามารถรับโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคมาดูแลเองได้ เพราะผู้จัดสรรที่ดินยังคงต้องการดูแลสาธารณูปโภคอยู่จึงไม่มีผลในทางปฏิบัติ
นอกจากนี้การขอแก้ไขบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับผู้ซื้อที่ดินจัดสรรก่อนประกาศของคณะปฎิวัติฉบับที่ 286 (ปว.286) ในการยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลฯตามมาตรา 70 ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะกลุ่มดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ได้เพิ่มบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตาม ปว.286 หากในภายหลังที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดเห็นชอบการจัดตั้งนิติบุคคลฯแล้ว ให้ทรัพย์สินอันเป็นสาธารณูปโภคตกเป็นของนิติบุคคลฯและให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบแทนได้ และให้เพิ่มมาตรการรักษาการเพื่อให้ผู้รักษาการตามกฎหมายดำเนินการตามภาระหน้าที่ที่กำหนดขึ้นมาใหม่ในบทเฉพาะกาลของร่าง พ.ร.บ.จัดสรรฯ (มาตรา10)
“การยกร่าง พ.ร.บ.จัดสรรฯฉบับนี้เพื่อเป็นการแก้ไขและเปิดช่องให้กับผู้ประกอบการจัดสรรที่อยากจะพ้นหน้าที่ดูแลสาธารณูปโภคมีทางออก ซึ่งจะต้องทำแผนชัดเจนว่าจะดูแลหรือยกเป็นสาธารณะ ขณะที่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรก็สามารถจัดตั้งนิติบุคคลฯมาดูแลได้ง่ายขึ้น”
ที่มา หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
นายสุชาติ ดอกไม้เพ็ง ผู้อำนวยการส่วนมาตรฐานการจัดสรรที่ดิน กรมที่ดิน เปิดเผยถึงความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่…) พ.ศ. … ว่าขณะนี้ร่างดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาตรวจร่างจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ทั้งนี้ ได้นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อผ่านความเห็นชอบแล้วจึงนำเสนอสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ร่างที่เสนอไปมีสาระสำคัญ เช่น การกำหนดให้มีการจดแจ้งสาธารณูปโภคหรือใช้เพื่อบริการสาธารณะในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรังรองการทำประโยชน์ การกำหนดให้ผู้รับโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคหรือใช้เพื่อบริการสาธารณะต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดิน เป็นต้น
สำหรับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อร่าง พ.ร.บ.จัดสรรฯมีรายละเอียด เช่น 1.การแก้ไขชื่อตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางและคณะกรรมการจัดสรรที่ดินให้เป็นไปตามตำแหน่งที่กำหนดในกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน โดยเพิ่มเติมให้อธิบดีกรมที่ดินแต่งตั้งข้าราชการกรมที่ดินจำนวนไม่เกิน 2 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง
2.แก้ไขเพิ่มเติมร่างเดิมมาตรา 6 (เพิ่มมาตรา 41/1) จากเดิมที่กำหนดให้ผู้รับโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคหรือที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินที่มีต่อผู้ซื้อที่ดินจัดสรร เป็นการกำหนดห้ามโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคเว้นแต่เป็นการโอนตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินและกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคเป็นที่ดินซึ่งผู้ซื้อที่ดินจัดสรรต้องใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงไม่ควรให้มีการโอนที่ดินเป็นสาธารณะ
3.ตัดความที่เพิ่มในมาตรา 44 (1) ที่กำหนดให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนแปลงย่อยตามแผนผังโครงการประสงค์จะจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรเพื่อทำหน้าที่บำรุงรักษาสาธารณูปโภค โดยให้แจ้งไปยังผู้จัดสรรที่ดินออกเนื่องจากผู้จัดสรรที่ดินประสงค์จะพ้นจากหน้าที่บำรุงรักษาสาธารณูปโภคตามมาตรา 43 แล้ว ดังนั้น แม้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรมีความพร้อมในการจัดตั้งนิติบุคคลฯแต่ก็ยังไม่สามารถรับโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคมาดูแลเองได้ เพราะผู้จัดสรรที่ดินยังคงต้องการดูแลสาธารณูปโภคอยู่จึงไม่มีผลในทางปฏิบัติ
นอกจากนี้การขอแก้ไขบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับผู้ซื้อที่ดินจัดสรรก่อนประกาศของคณะปฎิวัติฉบับที่ 286 (ปว.286) ในการยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลฯตามมาตรา 70 ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะกลุ่มดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ได้เพิ่มบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรตาม ปว.286 หากในภายหลังที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดเห็นชอบการจัดตั้งนิติบุคคลฯแล้ว ให้ทรัพย์สินอันเป็นสาธารณูปโภคตกเป็นของนิติบุคคลฯและให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบแทนได้ และให้เพิ่มมาตรการรักษาการเพื่อให้ผู้รักษาการตามกฎหมายดำเนินการตามภาระหน้าที่ที่กำหนดขึ้นมาใหม่ในบทเฉพาะกาลของร่าง พ.ร.บ.จัดสรรฯ (มาตรา10)
“การยกร่าง พ.ร.บ.จัดสรรฯฉบับนี้เพื่อเป็นการแก้ไขและเปิดช่องให้กับผู้ประกอบการจัดสรรที่อยากจะพ้นหน้าที่ดูแลสาธารณูปโภคมีทางออก ซึ่งจะต้องทำแผนชัดเจนว่าจะดูแลหรือยกเป็นสาธารณะ ขณะที่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรก็สามารถจัดตั้งนิติบุคคลฯมาดูแลได้ง่ายขึ้น”
ที่มา หนังสือพิมพ์โลกวันนี้