นายอภิชัย เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการ บริษัทวีเอสเอสแอล เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัดผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีบางปะกง, คอนโดมิเนียม 15 สุขุมวิท เรสซิเดนต์ และโรงแรมเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ อมันตรา เปิดเผยว่า จากการที่โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ตอนบนขอ งกรุงเทพฯ 7 แห่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่ งผลให้นิคมอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออกที่ไม่ถูกน้ำท่วมได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีโรงงานกว่า20% ที่เช่าพื้นที่โรงงานจาก 7 นิคมที่ถูกน้ำท่วม ย้ายโรงงานไปยังโซนที่ปลอดภัย รวมถึงบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนใหม่แม้ในภาวะน้ำท่วม โดยจะเลือกลงทุนในโซนที่ปลอดภัยเช่นกัน ซึ่งนอกจากทีเอฟดีจะอยู่ในพื้นที่ไม่ถูกน้ำท่วมแล้ว ยังได้รับอานิสงส์จากการที่บริษัทโตโยต้าได้สร้างโรงงานขนาดใหญ่ห่างจากนิคมฯเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น ทำให้บริษัทซัพพลายเออร์ไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนย้ายฐานการผลิตไปตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคีย
ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 3 ราย เกือบ 100 ไร่ มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท ในช่วงน้ำท่วม เช่น บริษัทโตโย โทมิ ผู้ผลิตตัวถังรถยนต์ ซื้อที่ดินไปจำนวน 65 ไร่ ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมซึ่งเป็นการเข้ามาลงทุนในไทยครั้งแรกโดยระบุยังเชื่อมั่นการลงทุนในไทยแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ได้เลือกทำเลในการลงทุนสร้างโรงงานที่อยู่ในโซนปลอดภัย ส่วนอีกสองรายเป็นซื้อที่ดินรายละกว่า100 ล้านบาท ราคาขายที่ดินเฉลี่ย5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโรงงานหลายแห่งที่หนีน้ำท่วมมาขอเช่าพื้นที่โรงงานในนิคมฯ ส่งผลให้ปัจจุบันมีพื้นที่เหลือเพียง 10% จากทั้งหมด 302 ไร่
ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับความต้องการของกลุ่มนักลงทุนทั้งรายเก่าที่เคยลงทุนในนิคมที่ถูกน้ำท่วม รวมไปถึงนักลงทุนรายใหม่บริษัทจึงเร่งเปิดพื้นที่เฟสสองเนื้อที่เกือบ 1,000 ไร่ พร้อมลงทุนก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค แนวคันกั้นน้ำความสูงกว่า 3 เมตร โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ2,000 ล้านบาท ในวงเงินดังกล่าว25% จะนำมาก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปขนาด 4,000-5,000 ตร.ม.ซึ่งพบว่าเป็นขนาดที่มีความต้องการสูงมากจากเดิมที่เคยพัฒนาเพียง 1,000-1,600 ตร.ม.สำหรับราคาที่ดินเปล่าในเฟสสองจะเสนอขายในราคา 6-6.5 ล้านบาท/ไร่
"นักลงทุนจากญี่ปุ่นยังเชื่อมั่นการลงทุนในไทย แต่ทุกคนระบุว่า จะรอดูว่ารัฐบาลไทยมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหรือไม่ หากทำจนสุดความสามารถแล้วแม้ว่าน้ำจะไม่ลดลงไปมากเค้าก็พร้อมจะลงทุนในไทยต่อไปแต่หากไม่มีความจริงใจเค้าก็จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่าการระบายน้ำช้ามาก" นายอภิชัยกล่าว
นอกจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการย้ายไปอยู่ในทำเลที่ปลอดภัยน้ำท่วมแล้ว ประชาชนทั่วไปยังได้ย้ายไปพักอาศัยในบริเวณจังหวัดใกล้เคียงและซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง โดยเฉพาะพัทยา ชลบุรี และหัวหิน และเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าวบริษัทจึงเตรียมเปิดขายโครงการเดอะ โคโลเนียล เขาเต่า หัวหินบนพื้นที่ 7 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง28 ชั้น จำนวน 2 อาคาร 381 ยูนิตราคาขาย 60,000-70,000บาท/ตร.ม. หรือประมาณ 4-7 ล้านบาทมูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ส่วนโครงการ15 สุขุมวิท คอนโดมิเนียม จำนวน514 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.7 -20 ล้านบาท หรือประมาณ 1.1แสนบาท/ตร.ม. เปิดขายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาปัจจุบันมียอดขายแล้ว50%
สำหรับในปี 2554 คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า1,365 ล้านบาท จากในช่วงต้นปีที่ตั้งเป้าไว้ที่ 800 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการขายที่ดินในนิคมฯทีเอฟดีเพิ่มขึ้นมากและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในปี 2556 ส่วนในปี 2553 มีรายได้ 362 ล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีโรงงานกว่า20% ที่เช่าพื้นที่โรงงานจาก 7 นิคมที่ถูกน้ำท่วม ย้ายโรงงานไปยังโซนที่ปลอดภัย รวมถึงบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนใหม่แม้ในภาวะน้ำท่วม โดยจะเลือกลงทุนในโซนที่ปลอดภัยเช่นกัน ซึ่งนอกจากทีเอฟดีจะอยู่ในพื้นที่ไม่ถูกน้ำท่วมแล้ว ยังได้รับอานิสงส์จากการที่บริษัทโตโยต้าได้สร้างโรงงานขนาดใหญ่ห่างจากนิคมฯเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น ทำให้บริษัทซัพพลายเออร์ไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนย้ายฐานการผลิตไปตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคีย
ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 3 ราย เกือบ 100 ไร่ มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท ในช่วงน้ำท่วม เช่น บริษัทโตโย โทมิ ผู้ผลิตตัวถังรถยนต์ ซื้อที่ดินไปจำนวน 65 ไร่ ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมซึ่งเป็นการเข้ามาลงทุนในไทยครั้งแรกโดยระบุยังเชื่อมั่นการลงทุนในไทยแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ได้เลือกทำเลในการลงทุนสร้างโรงงานที่อยู่ในโซนปลอดภัย ส่วนอีกสองรายเป็นซื้อที่ดินรายละกว่า100 ล้านบาท ราคาขายที่ดินเฉลี่ย5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโรงงานหลายแห่งที่หนีน้ำท่วมมาขอเช่าพื้นที่โรงงานในนิคมฯ ส่งผลให้ปัจจุบันมีพื้นที่เหลือเพียง 10% จากทั้งหมด 302 ไร่
ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับความต้องการของกลุ่มนักลงทุนทั้งรายเก่าที่เคยลงทุนในนิคมที่ถูกน้ำท่วม รวมไปถึงนักลงทุนรายใหม่บริษัทจึงเร่งเปิดพื้นที่เฟสสองเนื้อที่เกือบ 1,000 ไร่ พร้อมลงทุนก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค แนวคันกั้นน้ำความสูงกว่า 3 เมตร โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ2,000 ล้านบาท ในวงเงินดังกล่าว25% จะนำมาก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปขนาด 4,000-5,000 ตร.ม.ซึ่งพบว่าเป็นขนาดที่มีความต้องการสูงมากจากเดิมที่เคยพัฒนาเพียง 1,000-1,600 ตร.ม.สำหรับราคาที่ดินเปล่าในเฟสสองจะเสนอขายในราคา 6-6.5 ล้านบาท/ไร่
"นักลงทุนจากญี่ปุ่นยังเชื่อมั่นการลงทุนในไทย แต่ทุกคนระบุว่า จะรอดูว่ารัฐบาลไทยมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหรือไม่ หากทำจนสุดความสามารถแล้วแม้ว่าน้ำจะไม่ลดลงไปมากเค้าก็พร้อมจะลงทุนในไทยต่อไปแต่หากไม่มีความจริงใจเค้าก็จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่าการระบายน้ำช้ามาก" นายอภิชัยกล่าว
นอกจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการย้ายไปอยู่ในทำเลที่ปลอดภัยน้ำท่วมแล้ว ประชาชนทั่วไปยังได้ย้ายไปพักอาศัยในบริเวณจังหวัดใกล้เคียงและซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง โดยเฉพาะพัทยา ชลบุรี และหัวหิน และเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าวบริษัทจึงเตรียมเปิดขายโครงการเดอะ โคโลเนียล เขาเต่า หัวหินบนพื้นที่ 7 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง28 ชั้น จำนวน 2 อาคาร 381 ยูนิตราคาขาย 60,000-70,000บาท/ตร.ม. หรือประมาณ 4-7 ล้านบาทมูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ส่วนโครงการ15 สุขุมวิท คอนโดมิเนียม จำนวน514 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.7 -20 ล้านบาท หรือประมาณ 1.1แสนบาท/ตร.ม. เปิดขายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาปัจจุบันมียอดขายแล้ว50%
สำหรับในปี 2554 คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า1,365 ล้านบาท จากในช่วงต้นปีที่ตั้งเป้าไว้ที่ 800 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการขายที่ดินในนิคมฯทีเอฟดีเพิ่มขึ้นมากและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในปี 2556 ส่วนในปี 2553 มีรายได้ 362 ล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน